เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีท่ามกลางปัญหาของประเทศที่ยังคงรุมเร้าในทุกด้าน โดยเฉพาะพิบัติภัยที่มาจาก “น้ำท่วมไทย” ซึ่งปีนี้รุนแรงมาก เพราะแม้ว่ามวลน้ำจะไม่มากเท่าปี 2554 แต่น้ำท่วมปีนี้ในหลายพื้นที่มาเร็ว มาแรง แบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิต และทรัพย์สินอย่างสาหัสหากย้อนไปในปี 2568 ข่าวการระดมความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมหนักเกิดขึ้นต่อเนื่อง และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้สึกเจ็บปวด เริ่มจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ในช่วงเดือน ก.ค.ที่ตลาดสายลมจอย จ.เชียงราย รวมทั้งพื้นที่ จ.เชียงราย และอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ ซึ่งเราเห็นมวลน้ำและโคลนมากมายล้นทะลักขณะที่เชียงใหม่ก็เป็นอีกเมืองที่น้ำท่วมหนัก รวมทั้งยังมีพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากอีก 11-12 จังหวัด ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน บริเวณลุ่มน้ำยม ต่อมายังทุ่งรับน้ำในภาคกลาง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะในเขต อ.บางบาล อ.เสนา อ.ผักไห่ ที่ต้องรับน้ำไว้ไม่ให้เข้ากรุงเทพฯซึ่งคำว่า “ท่วมซ้ำซาก” ที่ว่านี้ คือ น้ำท่วมทุกปี มากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งในปีนี้หลายพื้นที่น้ำท่วมสูงยาวนานกว่า 4 เดือน กระทบที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำการเกษตร จนถึงวันนี้หลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขังสูง และที่น่าปวดใจมากกว่า คือ ทุกฝ่ายทำเหมือนว่าน้ำท่วมในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยานี้เป็นเรื่องปกติ เป็นกิจกรรมประจำปีที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ล่าสุด เดือน พ.ย.น้ำท่วมครั้งรุนแรงระดับภัยพิบัติเกิดอีกครั้งในภาคใต้ ส่งผลกระทบพื้นที่จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง สตูล ยังมีน้ำท่วมกระบี่กับภูเก็ตในช่วงก่อนหน้าความเสียหายทางทรัพย์สิน และเศรษฐกิจจากน้ำท่วมทั้งปีนี้ รวมๆกันประเมินกันว่าอยู่ที่ 50,000-60,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งถือว่าหนักมากเพราะเงินที่เสียหายส่วนใหญ่เป็น คนระดับกลางล่าง ไปจนถึงล่างที่สุดของประเทศ แต่เมื่อมองในแง่ผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อาจจะไม่สูงมาก เพราะหลังความเสียหาย และมีการใช้จ่ายเพื่อการก่อสร้าง ซ่อมแซม ให้เงินค่าชดเชยความเสียหาย และการแจกพืชพรรณ ยา ปุ๋ย ให้เกษตรกรกลับเข้ามาอย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นจริงๆต่อทรัพย์สิน ต่อกิจกรรมและโอกาสทางเศรษฐกิจที่หายไป รวมทั้งความเสียหายต่อชีวิต และจิตใจนั้นประเมินค่าไม่ได้ น้ำตาของคนที่บ้านเรือนที่ทำกินเสียหาย คนสูงอายุกลายเป็นโรคซึมเศร้า และหากมองกันในความเป็นจริงมูลค่าเงินที่รัฐใช้ชดเชยก็น้อยมาก เมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้หน่วยงานที่เข้าไปสำรวจพบว่า “หนี้นอกระบบ” พุ่งขึ้นมากในช่วงหลังจากน้ำท่วม ขณะที่มาตรการพักหนี้ และให้สินเชื่อผ่อนปรนของภาครัฐ แม้จะช่วยต่อลมหายใจระยะสั้น แต่ก็ทำให้หนี้สินของผู้ประสบภัยน้ำท่วมเพิ่มมากขึ้นเช่นกันดังนั้น ถึงเวลาที่ต้องมอง “ปัญหาน้ำท่วม” หรือจริงๆคือ ระบบการบริหารการ จัดการน้ำ และทรัพยากรในเชิงโครงสร้างใหม่ทั้งหมด เพราะการแก้ไขปัญหาแค่เฉพาะหน้า “ขอโทษซ้ำๆ” ไม่ช่วยเยียวยาประเทศไทยอย่างแท้จริง.มิสเตอร์พีคลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม