ดีเอสไอลุยตรวจสอบบริษัท 5 แห่งของลูก “ก๊ก อาน” หลังถูกถอนสัญชาติ ทำให้ไม่มีสิทธิ์ถือครองหุ้นเป็นอันดับแรก อยู่ระหว่างประสานกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบรายละเอียด ชัดเจนเมื่อไหร่เตรียมเสนอรับเป็นคดีพิเศษเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังเปิดการสืบสวนกรณีนายเฉิน จื้อ ซีอีโอบริษัทปรินซ์กรุ๊ปฯ ที่มีชื่ออยู่ใน 43 รายชื่อของทางการสหรัฐฯด้วย ด้าน “อัจฉริยะ” หอบหลักฐานการเงินคดี สส.ชนนพัฒฐ์เพิ่ม 2,500 ล้านบาท เสนอให้ ปปง.ตรวจสอบและตามอายัด เพราะเกี่ยวพันเว็บพนันออนไลน์ ปูดมีทั้งตำรวจและประชาชนรวมอยู่ด้วย หลังพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสงขลา ส่งหลักฐานมาให้อายัดแค่ 36 ล้านบาท ส่วนรองโฆษก ปปง.ยันดำเนินการตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาเต็มที่แน่นอน ถึงมีเงินส่วนไหนถูกโยกย้ายไปแล้ว ยังไงก็ตามเจอกรณีการดำเนินคดีนายก๊ก อาน สว.กัมพูชา หลังศาลอาญาอนุมัติหมายจับข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เบื้องต้นหลบหนีออกจากประเทศไทยไปแล้ว นอกจากนี้กรมการปกครองถอนสัญชาติไทยของลูกนายก๊ก อาน ทั้ง 3 คน ประกอบด้วย น.ส.จรี คล่องกิจกล น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล และนายกิตติศักดิ์ คล่องกิจกล เนื่องจากได้รับสัญชาติโดยมิชอบ ขณะเดียวกันกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังตรวจสอบความเชื่อมโยงธุรกิจของนายก๊ก อาน และครอบครัวในประเทศไทยตามที่เสนอข่าวไปแล้วความคืบหน้าจากการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีคณะพนักงานสืบสวนดีเอสไอตรวจสอบความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องของชาวต่างชาติ 43 รายชื่อ และเครือข่ายที่ประกอบธุรกิจในไทยพบว่า รายชื่อที่มีข้อมูลชัดเจนที่สุดตอนนี้คือ นายก๊ก อาน สัญชาติกัมพูชา มีตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาประเทศกัมพูชา และนอกจากนี้ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการปกครองของประเทศไทยตรวจสอบข้อมูลทางลับจากหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และหน่วยงานทางการข่าวพบว่า นายก๊ก อาน ประกอบธุรกิจหลายประเภท อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มกาสิโน ค้ามนุษย์ การฟอกเงิน และสแกมเมอร์ ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายไทยและได้รับใบสำคัญถิ่นที่อยู่รายงานระบุว่า อีกทั้งลูก 3 คนได้สัญชาติไทยจากการระบุว่า มีบิดาและมารดาสัญชาติไทย ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงจึงได้สัญชาติไทยโดยทุจริต แอบอ้างนำคนสัญชาติไทยซึ่งไม่ใช่บิดามารดาที่แท้จริงมาระบุว่า เป็นบิดามารดาของตน และแจ้งเกิดเกินกำหนดที่สำนักทะเบียน อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด จึงถือว่าบุคคลทั้ง 3 ไม่มีสัญชาติไทยแต่แรก ปัจจุบันถือว่าทั้งหมดเป็นคนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิอยู่ในประเทศไทย ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย หากย้อน ไปจะพบว่า ทั้งนายก๊ก อาน และลูก 3 คน คือผู้ต้องหาคดีของตำรวจ บช.สอท.ว่า กระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การที่นายก๊ก อาน และลูก ถูกกรมการปกครองเพิกถอนสัญชาติไทย จึงเป็นเหตุให้คณะพนักงานสืบสวนดีเอสไอดำเนินการขยายผลเรื่องการประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพราะใจความสำคัญชัดเจนแล้วว่าทั้งหมดคือบุคคลต่างด้าว ไม่สามารถประกอบกิจการในสัดส่วนการถือหุ้นอันดับหนึ่ง เป็นกรรมการบริษัทที่ตั้งในประเทศไทยได้ มีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542จากการตรวจสอบขยายผลเบื้องต้นของพนักงานสืบสวนกองกิจการอำนวยความยุติธรรม ที่ประสานข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ลูกทั้ง 3 คนของนายก๊ก อาน มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจประเภทการให้บริการประมาณ 5 แห่งในไทย มีสถานะเป็นกรรมการบริษัท คาดว่าสัปดาห์นี้ดีเอสไอจะมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท 5 แห่ง จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่วนบริษัทต่างๆจะยังประกอบกิจการต่อไปได้หรือไม่ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงดีเอสไอต้องตรวจสอบประวัติทางคดีอาญาอื่นๆ นอกเหนือจากที่ตำรวจไซเบอร์แจ้งดำเนินคดี หากชัดเจนแล้วเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณารับเป็นคดีพิเศษมีรายงานเพิ่มเติมว่า ส่วนการสืบสวนกรณีนายเฉิน จื้อ ซีอีโอ บริษัทปรินซ์ กรุ๊ปฯ คณะพนักงานสืบสวนตั้งเป็นเรื่องสืบสวนที่ 134/2568 เพื่อดูเรื่องเครือข่ายของนายเฉิน จื้อ และการประกอบกิจการหรือลงทุนในไทย ดีเอสไอต้องขยายผลรายชื่อ 43 ชาวต่างชาติที่ถูกทางการสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีให้เป็นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงออนไลน์ เช่น กรณีนายก๊ก อาน และลูก ดีเอสไอต้องแยกเลขเรื่องสืบสวนออกมาอีกด้านที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ายื่นหลักฐานเส้นทางการเงินที่คาดว่ามีส่วนในเครือข่าย นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม กับพวก ร่วมกันฟอกเงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท และมีเงินอีกส่วนที่คาดว่า สส.ชนนพัฒฐ์ ซุกซ่อนผ่านระบบคริปโตเคอร์เรนซี ขอให้นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาสำนักงาน ปปง.ดำเนินการยึดอายัด โดยมีนายสุทธิศักดิ์ สุมน ผอ.กองกฎหมาย และรองโฆษก ปปง.รับมอบเอกสารหลักฐานนายอัจฉริยะระบุว่า พยานหลักฐานที่นำมาวันนี้เป็นเส้นทางการเงินที่รวบรวมมาตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่าย สส.ชนนพัฒฐ์ รวมเงินหมุนเวียนกว่า 15,000 ล้านบาท โดยเฉพาะคดีบอสตาลเชื่อมมามีเส้นเงินถึง สส.ชนนพัฒฐ์ประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีตำรวจอีกหลายนายรับเงินจาก สส.ชนนพัฒฐ์ เงินส่วนนี้ถือเป็นนิติสัมพันธ์ที่ต้องเอามาประกอบในกระบวนการอายัดทรัพย์ของ ปปง. รวมมูลค่าทรัพย์สิน ที่ตนยื่นเพิ่มเติมวันนี้ประมาณ 2,500 ล้านบาท หลังจากสำนักงาน ปปง.ระบุในที่ประชุมกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศว่า ไม่มีข้อมูลส่วนนี้ พนักงานสอบสวน สภ.สงขลา ส่งพยานหลักฐานและทรัพย์สินให้สำนักงาน ปปง.ดำเนินการเพียง 36 ล้านบาท“ฉะนั้นการปรากฏข้อมูลทรัพย์สินภายหลังว่า ยังมีอีกจำนวนมากไม่ถูกดำเนินการ ตำรวจ สภ.สงขลา ต้องถูกดำเนินคดีด้วย ฐานะดำเนินคดีไม่ครบถ้วน แต่ผมไม่โทษใคร แต่อยากให้หลังจากนี้ ปปง.ทำงานให้เต็มที่ตามหลักฐาน เพราะเอกสารชุดนี้ถือว่าครบถ้วนหมดแล้ว รวมทั้งต้องตามยึดอายัดทรัพย์สินกับบุคคลที่มีข้อมูลเกี่ยวโยงรับทรัพย์สินของนายชนนพัฒฐ์ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือตำรวจตำแหน่งใด” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมกล่าวนายอัจฉริยะกล่าวต่อว่า การมีคลิปนายชนนพัฒฐ์ระบุว่าจะกลับไปเป็นรัฐมนตรีหลังจากเคลียร์คดีความ ตนยอมรับว่าไม่ทราบว่าไปตกลงอะไรหรือไม่ หรือตกลงกับผู้มีอำนาจ เรื่องนี้แสดงถึงความไม่รับผิดชอบ ส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายกฎหมายและดูถูก ปปง. ดูถูกคนทำคดี การที่นายชนนพัฒฐ์ปรากฏชื่อในคดีเว็บพนันและการฟอกเงิน ถ้าเป็นตนจะเอาเวลาไปหาหลักฐานมาพิสูจน์ ไม่ใช่การพูดกับประชาชนว่าจะกลับมาเป็นรัฐมนตรี สุดท้ายแล้วตน อยากจะดูว่าใครจะออกมาปกป้อง สส.รายดังกล่าวอีก“ผมไม่ใช่เครื่องมือของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ส่วนเรื่องที่มีสื่อมวลชนฝากให้ผมถาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรื่องทองคำ 300 ล้านบาท ผมจะถามในที่ประชุมกรรมาธิการฯ วันที่ 26 พ.ย.นี้เช่นกันว่า อดีตรอง ผบ.ตร.ซื้อทองมูลค่านั้นจริงหรือไม่” นายอัจฉริยะกล่าวด้านนายสุทธิศักดิ์ สุมน รองโฆษก ปปง.กล่าวว่า ข้อมูลที่นายอัจฉริยะนำมาให้วันนี้ หากสืบไปถึงเครือข่ายส่วนที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการ ส่วนมูลค่าทรัพย์สินที่สำนักงาน ปปง.อายัดไปก่อนหน้านี้ แตกต่างจากข้อมูลทรัพย์สินของนายอัจฉริยะ วันนี้จะนำไปประกอบการเพื่อดำเนินการเพิ่มเติม ถ้าพบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดที่ผ่านมา ปปง.ยืนยันว่า ยึดอายัดตามพยานหลักฐาน ไม่ได้ยึดตามเจ้าหน้าที่ ยืนยันไม่มีใบสั่ง การยึดทรัพย์สินทั้งหมดต้องผ่านการประชุมของคณะกรรมการ พิจารณาจากกรรมการหลากหลายสาขาอาชีพ ส่วนที่กังวลว่า มูลค่าทรัพย์สิน ที่ยื่นพยานหลักฐานมาเพิ่มเติมจะส่งต่อหรือเปลี่ยนแปลงทรัพย์ดังกล่าว ปปง.ยืนยันว่าสามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับมาได้ทั้งหมด ไม่ว่าเงินดังกล่าวจะไปอยู่ที่ข้าราชการตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือประชาชนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่