สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง “กลุ่มผู้เห็นต่าง” ลงมือก่อเหตุลอบวางระเบิด รวมถึงใช้อาวุธปืนโจมตีเป้าหมายทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงสร้างความหวาดกลัวเท่านั้น “แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐสั่นคลอนลงทุกวัน” กลายเป็นความท้าทายให้ ครม.อนุทิน 1 ต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ในการเร่งหากลไกขับเคลื่อนกระบวนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่หยุดชะงักมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนทว่าความคาดหวังที่ประชาชนฝากไว้กับรัฐบาลใหม่นี้ “ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังซ้ำ” เมื่อนโยบายรัฐบาลกลับไม่มีความชัดเจนใดๆเกี่ยวกับภาคใต้ ทำให้เวทีการพูดคุยสันติสุขและสร้างพื้นที่ชายแดนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยยังคงไร้ทิศทาง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มองว่าในช่วงนี้สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ดูเหมือนจะรุนแรงเป็นระยะๆ “กลุ่มผู้มีความเห็นต่างต้องการให้เกิดกระบวนการพูดคุยสันติสุข” ทำให้พยายามแสดงตัวตนแสดงพลังขึ้นมากดดันให้รัฐบาลไทยเข้ามาร่วมโต๊ะเจรจา แต่ตามที่ฟังท่าทีของท่านนายกฯ คนใหม่ก็ยังไม่ค่อยเห็นพูดถึงการแก้ปัญหาใน 3 จชต.เท่าที่ควรนักทั้งที่ควรให้ความสำคัญควบคู่ “ปัญหาพิพาทไทย–กัมพูชา” เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบความมั่นคงชายแดนเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่หลัก กอ.รมน., กระทรวงมหาดไทย และ สมช.ในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย เช่นนี้ประเด็นเร่งด่วนที่รัฐบาลควรต้องให้ความสำคัญคือ “การสร้างพื้นที่ปลอดภัยใน 3 จชต.” โดยเฉพาะกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่ “กลุ่มผู้เห็นต่างยังใช้ความรุนแรงเรียกร้องข้อเรียกร้องของตัวเอง” แล้วการจะพูดคุยจะเกิดเป็นผลได้ก็ต่อเมื่อพื้นที่นั้นต้องมีความปลอดภัย และไม่ไปจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนด้วยปัจจุบันบางพื้นที่ชายแดนใต้ “ภาครัฐยังใช้กฎหมายพิเศษ” ตั้งแต่กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สิ่งนี้ล้วนกระทบต่อการจำกัดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งให้สถานการณ์ยังไม่สงบกลายเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัย “การพูดคุยเพื่อสันติสุข” ที่ผ่านมาบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ จนไม่สอดคล้องหลักการพูดคุยสันติสุขที่ต้องอาศัยแวดล้อมเอื้อต่อการพูดคุยอย่างแท้จริงแต่ก็มีคำถามต่อว่า “สิ่งใดควรเกิดก่อน...?” ถ้าไม่อาจสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้ก็ยังใช้กฎหมายที่จำกัดสิทธิต่อไป ทำให้ยากที่จะสร้างแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพูดคุย ท้ายที่สุดกระบวนการสันติสุขก็ไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมจริงๆแล้วเหตุความรุนแรงใน 3 จชต. “มุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน” หากพูดถึงความเร่งด่วนในปัจจุบันสิ่งที่ต้องทำที่สุดคือ “การสร้างพื้นที่ปลอดภัย” เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข และยังจะเป็นเครื่องชี้วัดของผลสัมฤทธิ์ในการพูดคุยกับกลุ่มแกนนำก่อความไม่สงบเป็นตัวจริงหรือไม่ถ้าฝ่ายเห็นต่างนั้น “สามารถลดเหตุความรุนแรงก็ช่วยกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้จริง” แถมเป็นคำตอบชัดเจนขึ้นว่า “กระบวนการพูดคุยกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง” ตรงจุดนี้รัฐบาลควรบรรจุการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่ง “นโยบายความมั่นคงเร่งด่วน” ที่เป็นเครื่องมือหัวใจสำคัญในการสร้างสันติสุขใน 3 จชต.ตอกย้ำหากมองดู “บทบาท ครม.อนุทิน 1” ก็พอมีความหวังที่จะลงมากำกับดูแลผลักดันในการแก้ไขปัญหาใน 3 จชต.ให้เข้มข้นจริงจังมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดเวลาของรัฐบาลกลับไปให้ความสำคัญกับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชามากกว่าในขณะนี้ ทั้งที่จริงในการจัดระเบียบความมั่นคงชายแดนเป็นภารกิจหลักของ กอ.รมน.อยู่ด้วยโดยหน่วยงานหลักนี้ “นายกฯ เป็น ผอ.กอ.รมน.และกองทัพเป็นเลขาธิการ” แต่หากรัฐบาลมีนโยบายในการจัดระเบียบความมั่นคงชายแดนใน 3 จชต.ก็สามารถมอบหมายให้ ผบ.ทบ.ตามตำแหน่งที่เป็นรอง ผอ.กอ.รมน.รับไปดำเนินการในระยะสั้นได้ เรื่องนี้คงต้องดูต่อว่ารัฐบาลจะมีท่าที และนโยบายเร่งด่วนเพียงใดปัญหาว่า “รัฐบาลไม่กล่าวถึงปัญหา 3 จชต.เลย” เพราะนโยบายปรากฏเน้นกล่าวถึงข้อพิพาทไทย-กัมพูชาเป็นหลัก ทั้งที่สามารถออกแบบนโยบายบูรณาการในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาควบคู่กับการแก้ปัญหา 3 จชต.ร่วมกันได้ เพราะเป็นเรื่องเดียวกันในการจัดระเบียบความมั่นคงสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนดังนั้นนโยบายความมั่นคงเร่งด่วน “รัฐบาลควรประกาศครอบคลุมทุกพื้นที่ชายแดนของประเทศ” ไม่ใช่เลือกให้ความสำคัญเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เพราะภาคใต้ก็เป็นประเด็นเรื้อรังและซับซ้อนมานานส่วนประเด็น “คณะพูดคุยสันติสุขค้างคาไม่ขับเคลื่อนมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้” ก็พอเข้าใจในการแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยนั้นควรเป็นสเต็ปที่ 2 “สเต็ปแรกจำเป็นต้องสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ก่อน” เมื่อพื้นที่มีเสถียรภาพ และประชาชนเชื่อมั่นแล้วก็จะต้องเดินหน้าสู่ขั้นตอนการพูดคุยอย่างน้อย 3 ประการ คือข้อ 1.การทบทวนหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตรวจสอบว่ากำลังพลเพียงพอ หรือขีดความสามารถของบุคลากรเป็นไปตามภารกิจ และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ตอบสนองต่อสถานการณ์หรือไม่ข้อ 2.การสนธิกำลังหน่วยงานระหว่างพลเรือน ตำรวจ และทหาร มีประสิทธิภาพสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่นดีเพียงใด และข้อ 3.การรณรงค์สร้างการรับรู้ที่รัฐบาลต้องการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีทั้งหมดนี้จะช่วยวางรากฐานที่มั่นคงต่อ “กระบวนการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้” จะสามารถดำเนินต่อได้อย่างมีความหวัง และมีทิศทางที่ชัดเจน ดังนั้น 3 เรื่องนี้ที่กล่าวมาต้องมีความชัดเจนจากทางฝ่ายรัฐบาลในการแสดงนโยบายที่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องการแก้ปัญหา 3 จชต.เพื่อให้ กอ.รมน.นำเอามาตรการไปสื่อสารต่อเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกสื่อ “ส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตรงข้าม” ถ้าอยากพูดคุยกับรัฐบาลจริงก็ต้องแสดงให้เห็นถึงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ฝ่ายเราเห็นแล้วหากมีการตอบสนองก็แสดงว่า “ฝ่ายที่จะไปคุยด้วยเป็นตัวจริง” อันจะทำให้รัฐบาลเริ่มแต่งตั้งหัวหน้าคณะพูดคุยฯ ซึ่งตอนนี้ฝ่ายเรายังคงว่างอยู่ เพื่อให้สอดรับกับหัวหน้าพูดคุยอีกฝ่ายเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีความชัดเจนแล้วก็ต้องดำเนินการประสานงานผ่าน “ฝ่ายมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวก” เพื่อให้เกิดกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขดำเนินต่อไปได้...แต่ต้องย้ำว่าการสร้างพื้นที่ปลอดภัยคือ “จุดเริ่มต้นการพูดคุยสร้างสันติสุข” อันเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่เอื้อต่อความไว้วางใจ ลดความรุนแรง และเปิดทางให้กระบวนการเจรจาดำเนินไปได้อย่างแท้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม