ศาลชั้นต้นจังหวัดราชบุรีตัดสินคดี “เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์” อดีต สส.หญิงคนดังจังหวัดราชบุรี บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ป่าเขาสน หมู่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 4 แปลง เนื้อที่รวม 681 ไร่ 1 งาน 37 ตร.ว. เข้าทำประโยชน์ สร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างทำฟาร์ม เลี้ยงไก่ เจาะน้ำบาดาล สั่งจำคุกรวม 4 ปี 1 เดือน ไม่รอลงอาญา ปรับเงินบริษัทอีก 60,000 บาท ทนายใช้เงินสด 1 ล้านบาท ประกันตัวออกไปต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไปศาลสั่งจำคุกอดีต สส.หญิงคนดังจังหวัดราชบุรีครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นที่ศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ต.ค. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีพนักงานอัยการจังหวัดราชบุรีเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัทปารีณา ไกรคุปต์ และ น.ส.ปารีณา หรือเอ๋ ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวน ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ความผิดประมวลกฎหมายที่ดิน และความผิดพระราชบัญญัติน้ำบาดาลโจทก์ฟ้องว่าระหว่างปี 2555 ถึงวันที่ 24 พ.ย.2565 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (ป่าเขาสน) หมู่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยร่วมกันก่อสร้างแผ้วถางป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 4 แปลง แปลงที่ 1 เนื้อที่ 387 ไร่ 80 ตารางวา แปลงที่ 2 เนื้อที่ 207 ไร่ 2 งาน 41 ตารางวา แปลงที่ 3 เนื้อที่ 70 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา และแปลงที่ 4 เนื้อที่ 15 ไร่ 3 งาน 84 ตารางวา รวมที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 681 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา เพื่อ ประโยชน์ของจำเลยทั้งสองในการปลูกสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ สร้างบ้านพัก ปักเสาไฟ สร้างแท็งก์น้ำ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ เป็นเหตุให้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้รับความเสียหายโดยจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือได้รับการยกเว้นใดๆ คิดเป็นเงินค่าเสียหายของรัฐรวม 35,369,459.10 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ที่ดินที่เกิดเหตุมิได้เป็นป่าโดยสภาพ เนื่องจากมีบุคคลเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้ามาครอบครองเป็นระยะเวลานานแล้ว และไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐโต้แย้งการมีบุคคลเข้ายึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ และไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่า ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ทราบว่าการครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุเป็นความผิดก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองย่อมทราบดีว่า ที่ดินที่เกิดเหตุยังเป็นที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้ใช้สิทธิใดๆตามกฎหมายที่ดิน เนื่องจากจำเลยที่ 2 เพียงแต่เป็นผู้มีชื่อครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ ในแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) รวม 29 แปลงประกอบกับช่วงที่จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำเลยที่ 2 ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า เป็นผู้ครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) รวม 29 แปลง ซึ่งแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีดังกล่าวมิใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินและมิใช่ใบอนุญาตให้ครอบครองที่ป่าหรือที่ดินของรัฐดังนั้นจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีว่าที่ดินที่เกิดเหตุทั้ง 4 แปลงเป็นที่ดินที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใดๆตามกฎหมายที่ดิน ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นป่าตามคำนิยามของกฎหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 การที่จำเลยทั้งสองยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุทั้ง 4 แปลง จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตัวเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 และฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดินพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี ฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาตทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 50,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาตคงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือน รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 4 ปี 1 เดือน ให้ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าและที่ดินของรัฐที่เกิดเหตุ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำบาดาล อุดและกลบหลุมบ่อน้ำบาดาล ต่อมาทนายความ น.ส.ปารีณายื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาทขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว น.ส.ปารีณา ตีหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท และได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเพื่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่