การประชุมสภาเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ไชยา พรหมา รองประธานสภาทำหน้าที่ประธานในการประชุม โดยการประชุมในวันนั้นมีญัตติด่วนข้อเสนอ ยกเลิกข้อตกลงร่วมไทย– กัมพูชา หรือ MOU 2543 และ 2544 ตามที่ พรรคภูมิใจไทย เสนอ ปรากฏว่าก่อนการพิจารณาญัตติดังกล่าวประธานที่ประชุมได้สั่งปิดการประชุม ซึ่งหัวหน้าพรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และเลขาฯพรรคภูมิใจไทย ไชยชนก ชิดชอบ ร่วมกันแถลงข่าวระบุเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง และมีการปฏิบัติไม่ตรงกับที่ตกลงกันไว้ในการประชุมวิปฝ่ายค้านและรัฐบาล อ้างว่า ญัตติดังกล่าวเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะหาทางออกความขัดแย้งไทย-กัมพูชาซึ่งมีปัญหาในขณะนี้ถ้าจะตั้งคำถามว่า MOU 43-44 มีความละเอียดอ่อนต่อสถาน การณ์ในขณะนี้อย่างไร MOU 2543 เป็นข้อตกลงกรอบการสำรวจ ปักปันเขตแดนทางบก และตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมหรือ JBC ตามหลักเขตเดิมตำแหน่ง 73 เป็นฐาน และห้ามทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน เว้นแต่ภารกิจสำรวจร่วมกันส่วน MOU 2544 ว่าด้วย พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ในอ่าวไทย มีลักษณะเป็นข้อตกลงของข้อตกลงที่จะหาทางออกทั้งการแบ่งเขตกับการพัฒนาร่วม ซึ่งไม่เกี่ยวกับเอกสารเขตแดน หรือปักเขตแดนเด็ดขาด ตามหลักกฎหมายทางทะเลที่คู่กรณีทำข้อตกลงชั่วคราวในระหว่างการเจรจา ซึ่งมีการตีความว่า เป็นข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณอ่าวไทย ซึ่งมีก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมหาศาลว่ากันว่าบริเวณพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 27,000 ตารางกิโลเมตร มีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซในระดับที่จะทำให้เป็นบวกต่อ ความมั่นคงทางพลังงาน และ ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ได้อย่างมาก ภาษาชาวบ้านคือ ฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยได้อย่างสบายๆ แต่ปัญหาเป็นก้างขวางคอคือ เป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชาอยู่ซึ่งก็กลับไปสู่ปัญหาเดิมๆคือข้อพิพาทเขตแดน จะลากเส้นแบ่งเขตแดนกันอย่างไร หรือจะกระทบกับเกาะกูดที่เป็นของไทยหรือไม่ จะอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือ 1 ต่อ 50,000 ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุเอาไว้ว่า เอกสารความตกลงระหว่างไทยกับ สปป.ลาว เกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก เป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ทำให้ไทยมีปัญหากับกัมพูชาในขณะนี้ โดยเป็นจุดเริ่มต้นบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา MOU 43 สมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย จากนั้นกลายเป็นข้ออ้างที่กัมพูชาเรียกร้องคือปราสาทพระวิหาร และการที่กัมพูชาต้องการที่จะผ่ากลางเกาะกูดของไทย ต่อมาสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 ขอให้สภาเห็นชอบกรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนไทย-ลาว ที่เป็น ต้นแบบของ MOU 43 อีกระลอก อีนุงตุงนังไปหมดสรุปได้ว่า MOU ทั้งสองฉบับมีความสำคัญกับอธิปไตย และ ผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย ที่ซ่อนความลับเอาไว้บานตะไท ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนก็ปิดหีบไม่ลง อธิปไตยในดินแดนเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม