น้อยคนในโลกที่ตั้งความคาดหวังไว้พอดีตัวเพราะวิธีการนั้นยาก ต้อง...“ดูใจตัวเองเป็น” ต้อง “อ่านจิตตัวเองออก” เป้าหมายชีวิตมีอยู่ 2 แบบ แบบแรก เป็นเป้าที่ตั้งขึ้นตามคนอื่น เห็นเขาตั้งกันก็ตั้งบ้างเพื่อหลอกตัวเอง หรือไม่ก็บอกคนอื่นว่าชีวิตฉันก็มีเป้าหมายเหมือนกันนะ เป้าแบบนี้ไม่ได้อยู่ในใจคุณตั้งแต่แรก แบบที่สอง เป็นเป้าที่ตั้งต้นจากความอยากเห็นคนเก่งแล้วอิน อยากเก่งอย่างนั้นบ้าง หรือไม่ก็รู้ว่าตัวเองถนัดอะไรดีๆบางเรื่อง ยิ่งทำยิ่งชอบ ยิ่งชอบยิ่งรู้ลึก รู้มาก อยากอุทิศเวลาในชีวิตให้กับมัน เป้าแบบนี้ ตั้งต้นออกมาจากใจจริงๆ#อย่ากลัวจนหวังต่ำเกินไป สำหรับคนส่วนใหญ่ ท่องคาถาศักดิ์สิทธิ์เช่น “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” โดยไม่มีเป้าหมายให้ชัดว่า “ดีพอจะเอาอะไรได้บ้าง” ไม่รู้จะใช้วันหนึ่งๆให้หมดไปกับการเอาอะไรใหม่ๆเข้ามาคาถาศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นคาถาของนกแก้วนกขุนทองไม่ใช่คาถาของมนุษย์ผู้ทำได้มากกว่าพูด ถามตัวเองชัดๆและบ่อยๆว่า “กำลังมองอะไรอยู่?”...เป้าหมายใหญ่ๆของวันหน้า เป้าหมายเล็กๆของวันนี้ หรือแค่มองเมฆหมอกสลัวเลือนไปวันๆ การได้คำตอบจากตัวเองอาจเป็นชนวนเปลี่ยนไปสู่ชีวิตที่คุ้มจริงได้ในที่สุด...มีอะไรท้าทายเป็นเป้าหมายในงานไว้บ้าง เมื่อใดวิ่งชนธงที่โบกสะบัดท้าทายใจได้สำเร็จปีติที่เกิดขึ้นจะช่วยผลักดันให้มุ่งมั่นมากขึ้นเรื่อยๆงานต่องานเงินต่อเงินสุขต่อสุขไปเอง#อย่ากล้าหวังสูงเกินตัว อ่านให้ออกว่า ...อาการทะยานอยากนั้น มีความ “แรงเกินๆ” หรือเปล่า ไกลเกินตัวไปไหม สูงเกินเอื้อมหรือไม่ ดูว่า...ความคาดหวังนั้น ก่ออาการทะยานอยาก มีอาการเหมือนกระ โจนออกไปตะครุบเป้าที่ยังมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด...เป้าหมายที่พร่าเลือน มักจุดชนวนได้แค่พลังวูบๆวาบๆ ติดๆดับๆ เอาแน่ไม่ได้ว่าจะก้าวไปหรือจะหยุดอยู่ อะไรที่ไม่ได้อยู่ในใจจริงๆไม่อาจก่อภาพเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวคุณได้...คุณไม่อาจเห็นภาพตัวเองลงมือทำสิ่งนั้นจริง คุณไม่อาจเห็นภาพตัวเองอยู่กับสิ่งนั้นนานๆ และที่สำคัญ คุณไม่อาจเห็นภาพตัวเองมีชีวิตรอดจากการทำสิ่งนั้นเลี้ยงตัว พอดูเป็น พออ่านออก คุ้นเคยดีกับสภาพทางใจที่พลุ่งพล่านผิดปกติ ใจที่ผิดปกติจะกลับเป็นปกติรู้สึกทรงตัว ไม่ดิ้นรน ไม่เป็นทุกข์นักในลมหายใจที่มีสติรู้ทันเป็นปกตินั้นเอง ใจจะคิดเป็นปกติ ปากจะพูดเป็นปกติและทำทุกอย่างเป็นปกติคนจะทำอะไรสำเร็จต้องมีเป้าหมายชัดเจน ทำแต่ละวันให้ชีวิตคืบหน้า สมองของเขาจะ “เห็นอย่างแจ่มชัด” ถึงภาพความเชื่อมโยงระหว่างจุดที่กำลังยืนอยู่กับจุดต่อไปไม่ติดวนอยู่กับคำถามตื้นเขินไม่เป็นแต่คิดซ้ำซากว่า “จะเอายังไงดี?” ดังนั้น จึงมักถามตัวเองเรียบๆ ง่ายๆครั้งเดียวว่า “ต้องทำอะไรต่อ?” เมื่อได้คำตอบก็ลงมือทำทันที! Cr: “Dungtrin”ในยามที่คลื่นมรสุมทางเศรษฐกิจถาโถมเข้าใส่ หลายคนต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เสียงบ่นจากพ่อค้าแม่ขายว่า “ขายของไม่ได้” ...“ขาดทุน” หรือพนักงานประจำที่รู้สึกว่า “ชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า” กลายเป็นเรื่องปกติที่ได้ยินกันทุกวัน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังเห็นร้านค้าบางร้านที่ยังคงขายดิบขายดีหรือบางคนในบริษัทก็ยังได้รับโอกาสให้เลื่อนตำแหน่งอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า....ปัญหา “เศรษฐกิจ” เป็นสาเหตุทั้งหมดของ “ความล้มเหลว” ที่เราเผชิญอยู่จริงหรือ? บางที...ปัญหาที่เราเจออาจไม่ได้มาจากภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจาก “พลังงานภายใน” ที่อ่อนแรงลง ซึ่งในความเชื่อทางพุทธศาสนาและไสยศาสตร์โบราณ เชื่อว่าพลังงานนี้เกี่ยวข้องกับ...“สิ่งลี้ลับ” หรือ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ที่คอยคุ้มครองเรา“สิ่งศักดิ์สิทธิ์” และ “กรรมดี”...ความสัมพันธ์ที่แยกจากกันไม่ได้ ตามคติความเชื่อทางพุทธศาสนา สิ่งลี้ลับที่คอยคุ้มครองมนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่ “เทวดาประจำตัว” ที่คอยดูแลผู้ประกอบกรรมดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึง...รุกขเทวดา เทวดาที่สถิตอยู่ในต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเชื่อกันว่ามีหน้าที่ดูแลคุ้มครองพื้นที่ป่าและธรรมชาติพระภูมิเจ้าที่...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำหน้าที่ดูแลปกป้องบ้านเรือนและสถานที่นั้นๆ เทวดาผู้รักษาวัตถุมงคล...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในวัตถุมงคลต่างๆ เช่น พระเครื่องหรือวัตถุโบราณ เพื่อคอยคุ้มครองผู้ที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะผู้พิทักษ์และผู้คุ้มครองแต่สิ่งสำคัญที่ทำให้พลังของพวกเขาทำงานได้อย่างเต็มที่ คือ “กรรมดี” ของมนุษย์เอง ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนให้เราเข้าใจว่า สิ่งที่คุ้มครองเราไม่ใช่แค่พลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่คือ...ผลของกรรมดีที่เราได้ทำมาตลอดชีวิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะสามารถส่งพลังคุ้มครอง...หนุนดวงให้กับผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์และประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม หากเรามัวแต่บ่นถึงโชคชะตาโดยไม่ลงมือทำความดีก็เท่ากับว่าเราปล่อยให้ “เทวดาประจำตัว” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยคุ้มครองไม่มีพลังงานในการทำงานดังนั้น ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ การแก้ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่การรอคอยปาฏิหาริย์เพียงอย่างเดียว แต่เราควรหันกลับมาทบทวนตนเองและสร้าง “เกราะคุ้มครอง” ให้กับตัวเองด้วยการทำความดีอย่างต่อเนื่อง เช่น การรักษาศีล ...เป็นรากฐานที่ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ การให้ทาน ...ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเล็กน้อยหรือการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มกำลังก็เป็นการสร้างบุญกุศลให้ชีวิต การเจริญภาวนา...สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำให้จิตใจสงบ...มีสติ แม้ว่าเศรษฐกิจจะแย่เพียงใด หากเรายังคงมี “พลังแห่งกรรมดี” อยู่เสมอก็เชื่อได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยังคงทำหน้าที่คุ้มครองและหนุนนำให้เราผ่านพ้นวิกฤติไปได้อย่างปลอดภัยและนี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนยังคง “ขายดิบขายดี” หรือ “หน้าที่การงานรุ่งเรือง” แม้ในยามที่ผู้อื่นต้องเผชิญกับความยากลำบากสาหัส“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.รัก-ยมคลิกอ่านคอลัมน์ “เหนือฟ้าใต้บาดาล” เพิ่มเติม