นับวันยิ่งเข้มข้นปมขัดแย้งเขตแดน “ระหว่างไทย-กัมพูชา” บานปลายนำมาสู่การปิดจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ เนื่องจากกัมพูชาเพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้ามาประชิดตามแนวชายแดนหลายจุดอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยรอบโดยเฉพาะอาวุธยุทโธปกรณ์ส่วนหนึ่งถูกระบุว่า “เป็นอาวุธจากจีน” ทำให้จีนออกมาแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการว่า “ไม่ขอยุ่งไม่ขอเกี่ยว” แต่ในทางไม่เป็นทางการก็ยังเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับกัมพูชาอยู่ในบางระดับหากมาดูสายสัมพันธ์จีน-กัมพูชามีประวัติยาวนาน “สมัยราชสำนักจีนก็ส่งทูตมาค้าขายกับเขมรหลายยุค” จนสิ้นสุดสงครามเย็นจีนเข้ามาสนับสนุนเชิงเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง แต่พอทศวรรษ 1970-1980 “จีนสนับสนุนเขมรแดง” เพื่อถ่วงดุลเวียดนามที่ใกล้ชิดโซเวียตหลังข้อตกลงปารีสปี 1991 ก็กลับมามีบทบาทอีกครั้งตั้งแต่ปี 2010 จีน-กัมพูชายกระดับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน “จีน” สนับสนุนแบบไม่ตั้งเงื่อนไขไม่แทรกแซงโดยมองกัมพูชามีคุณค่าทางยุทธศาสตร์จากตำแหน่งใกล้ทะเลจีนใต้ใช้เป็นช่องทางสร้างอิทธิพลในอาเซียน “ฮุน เซน” ก็ยืนหยัดนโยบายจีนเดียวจนถูกมองขัดขวางแถลงการณ์ร่วมเรื่องทะเลจีนใต้เกี่ยวกับจีนปี 2012 ความจงรักภักดีนี้ไม่อาจมองข้าม ผศ.ดร.วิชิต สุรดินทร์กูร อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มรภ.สวนสุนันทา บอกว่า จีนเป็นผู้เล่นทางเศรษฐกิจของกัมพูชาช่วงไม่กี่ทศวรรษผ่าน Belt and Road Initiative (BRI)เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การคมนาคม และเขตอุตสาห กรรมโดยเฉพาะเมืองสีหนุวิลล์ที่เป็นตัวอย่างเด่นในการพัฒนากาสิโน โรงแรมระดับห้าดาว และอาคารสูงผุดขึ้นอย่างรวดเร็วจากการลงทุนของทุนจีนจนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ และสะท้อนยุทธศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ของจีนในภูมิภาคแห่งนี้อีกโครงการคือคลองฟูนันเตโช 1.7 พันล้านดอลลาร์ “เชื่อมกรุงพนมเปญกับอ่าวไทยผ่านกำปอตระยะ 180 กม. ดำเนินการแบบ PPP” มีกัมพูชาถือหุ้นใหญ่ในการลดพึ่งพาท่าเรือเวียดนาม ถ้าทำสำเร็จจะเปลี่ยนระบบการค้าและคมนาคมใหม่ ซึ่งเวียดนามก็กังวลจะกระทบระบบนิเวศการเพาะปลูกสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแล้วเสียงวิจารณ์ต่อคลองฟูนันเตโชก็ไม่ได้จำกัดแค่เวียดนามเท่านั้น “คณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง (MRC)” ก็ยังเรียกร้องให้กัมพูชาเปิดเผยข้อมูลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าทำตามมาตรฐานมีผู้เชี่ยวชาญร่วมประเมิน แต่ก็ไม่มีการเปิดเผยรายงานทำให้เกิดคำถามมากมายตามมาเพราะโครงการนี้ “ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐาน” แต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์จีนที่ใช้เศรษฐกิจสร้างอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศที่ต้องการพัฒนาและแหล่งทุนภายนอกตอกย้ำในระยะเวลาเพียงสองทศวรรษที่ผ่านมา “ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างจีนกับกัมพูชาพัฒนาอย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ” เพราะภายใต้กรอบหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านจีนไม่เพียงสนับสนุนกองทัพกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังมุ่งเสริมฐานยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะจุดที่มีความอ่อนไหวเชิงภูมิรัฐศาสตร์ “ทะเลจีนใต้และอ่าวไทย” จีนได้กลายเป็นแหล่งจัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาทั้งอาวุธเบา ยุทโธปกรณ์หุ้มเกราะ และระบบสื่อสารทางทหาร พร้อมสนับสนุนการฝึกอบรมการซ่อมบำรุง และช่วยลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกองทัพในหลายมิติระหว่างปี 2010-2020ความช่วยเหลือจากจีนด้านการทหารสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จุดนี้ทำให้ประชาคมระหว่างประเทศจับตามองมากที่สุด “ฐานทัพเรือเรียม” ตั้งบนชายฝั่งอ่าวไทยของกัมพูชา และมีรายงานหลายฉบับระบุว่าจีนมีบทบาทขุดลอกท่าเรือใหม่ และวางโครงสร้างพื้นฐานรองรับเรือรบขนาดใหญ่ เช่น เรือพิฆาต และเรือส่งกำลังบำรุงแม้รัฐบาลกัมพูชาจะออกมายืนยันว่า “ฐานทัพยังคงเป็นทรัพย์สินของชาติ” ทั้งไม่เปิดให้ต่างชาติมาใช้เป็นฐานทัพถาวร แต่ภาพถ่ายดาวเทียม และการวิเคราะห์ขององค์กรนานาชาติอย่าง CSIS และ AMTI ก็บ่งชี้ว่าจีนมีบทบาทเบื้องหลังที่ชัดเจน ทั้งจากการปรากฏของอุปกรณ์ทางทหาร และบุคลากรเทคนิคจากจีนในพื้นที่ด้วย“จีนใช้ฐานทัพเรือเรียมในกัมพูชาเป็นจุดยุทธศาสตร์เปิดทางสู่อันดามันและอ่าวไทย เพื่อเฝ้าระวังคู่แข่งอย่างสหรัฐฯ เวียดนาม ไทย พร้อมร่วมฝึกซ้อมทางทหารกับกัมพูชาใน Golden Dragon Exercise ที่เน้นต่อต้านก่อการร้าย รักษาสันติภาพและช่วยภัยพิบัติ สร้างความใกล้ชิดเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกองทัพทั้งสอง” ผศ.ดร.วิชิต ว่าเช่นนี้อิทธิพลจีนในกัมพูชาไม่ใช่แค่เศรษฐกิจและความมั่นคงยังส่งผลต่อ “โครงสร้างการเมือง” โดยเฉพาะในระบบกึ่งอำนาจนิยม และการสืบทอดอำนาจ “ตระกูลฮุน เซน ครองอำนาจกว่า 3 ทศวรรษ” ทำให้กัมพูชากับจีนกลายเป็นพันธมิตรทางการเมืองสนับสนุนทั้งทางตรงและอ้อม อิงกับหลักไม่แทรกแซงกิจการภายใน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย “ผู้นำกัมพูชา” ในการรักษาเสถียรภาพอำนาจท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย “การเลือกตั้งปี 2018” สะท้อนบทบาทจีนชัดเจนเมื่อพรรคฝ่ายค้านถูกยุบ และรัฐบาลฮุน เซน ก็เผชิญแรงกดดันจากนานาชาติ “จีน” กลับสนับสนุนผลการเลือกตั้งอย่างเปิดเผย พร้อมเร่งลงทุน และให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องแสดงถึงจุดยืนเคียงข้าง “ผู้นำกัมพูชา” ในช่วงที่ประชาคมโลกวิจารณ์รุนแรง และในปี 2023 เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง “ฮุน มาเนต บุตรชายฮุน เซน รับช่วงอำนาจต่อ” จีนก็แสดงท่าทีสนับสนุนสะท้อนความต่อเนื่องความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่าง 2 ประเทศ และต่อมาก็ลงนาม MOU ใหม่หลายฉบับทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงปัญหาว่าการขยายบทบาทของจีน “ผ่านโครงการขนาดใหญ่” อย่างเช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ และคลองฟูนันเตโช ก็ก่อให้เกิดแรงเสียดทานจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งการเวนคืนที่ดิน การสูญเสียแหล่งทำกิน และปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจ้างแรงงานจีนแทนแรงงานท้องถิ่น กลายเป็นจุดสะสมความไม่พอใจ สร้างความรู้สึก “แตกแยกต่อชาวจีนบางกลุ่ม” โดยเฉพาะในสีหนุวิลล์ต้องเผชิญปัญหาอาชญากรรม การพนันผิดกฎหมาย และเครือข่ายฟอกเงินเชื่อมโยงกับธุรกิจจีนส่งผลให้คนบางส่วนเริ่มมีทัศนคติลบต่อชาวจีน และการลงทุนจากจีน “เกิดกระแสต่อต้าน” แม้ไม่รุนแรงระดับชาติแต่ก็ก่อตัวขึ้นในหลายพื้นที่แล้วด้วยซ้ำฉะนั้นความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง “จีน–กัมพูชา” เป็นความท้าทายให้ภูมิภาค และไทยควรติดตามอย่างใกล้ชิดพร้อมวางยุทธศาสตร์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพในระดับภูมิภาค...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม