เมื่อการพัฒนาเร่งรัดกลายเป็นเงื่อนไขวิกฤติสิ่งแวดล้อม... “การพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” พื้นที่สามจังหวัดหลัก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ได้ถูกวางเป็นหัวใจของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ “EEC” เปรียบเสมือน... “เรือธงแห่งอนาคตประเทศไทย”แต่เบื้องหลังของความรุ่งเรือง กลับเป็นภาพสะท้อนของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ลึกและเรื้อรัง จนวันนี้กลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของสังคมไทยว่า “เราจะสามารถพัฒนาโดยไม่ทำลายได้จริงหรือ?”พุ่งเป้า...มิติปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ EEC จากอดีตที่ยังไม่สะสาง เริ่มจากจังหวัด “ระยอง”...อดีตที่ไม่อาจลืมของมาบตาพุด เหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมันและสารพิษ หลายครั้งในอดีตสร้างความหวาดกลัวในชุมชน เช่น เหตุท่อส่งน้ำมันรั่วปี 2556 และการระเบิดโรงงานสารเคมีถัดมา “ชลบุรี”...เมืองที่เติบโตเร็วกว่าโครงสร้างพื้นฐานขยะอุตสาหกรรมจำนวนมากจากนิคมฯ อมตะนคร...พื้นที่รอบพัทยา ทำให้เกิดปัญหาน้ำเสียและการปนเปื้อนในทะเลชายฝั่ง...การลักลอบทิ้งกากสารเคมีสุดท้าย “ฉะเชิงเทรา”...ชายฝั่งบางปะกงกำลังสูญหาย การขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมและการถมที่ดิน ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำบางปะกง ซึ่งเป็นระบบนิเวศสำคัญของนกน้ำและพันธุ์สัตว์น้ำ ลดลงต่อเนื่อง...มลพิษจากอุตสาหกรรมยุคใหม่ แม้จะเป็นอุตสาหกรรมไฮเทค เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าหรือชีวภาพ แต่หลายแห่งยังคงมีการใช้สารเคมีอันตราย เช่น ตัวทำละลาย โลหะหนัก น้ำเสียที่ต้องการระบบ บำบัดขั้นสูงอีกทั้งการเติบโตของโรงไฟฟ้าชีวมวลและก๊าซธรรมชาติ เสี่ยงต่อการปล่อยมลพิษทางอากาศ หากไม่มีระบบกรองที่มีประสิทธิภาพจริง...น่าสนใจว่าถ้าขาดระบบควบคุมและตรวจสอบที่เข้มแข็งก็ยิ่งไปกันใหญ่ กฎหมายสิ่งแวดล้อมมีอยู่ แต่การบังคับใช้ยังมีข้อจำกัด ทั้งในเชิงบุคลากร งบประมาณ และอิทธิพลทางการเมืองและทุนมีมากน้อยแค่ไหนอย่างไร?...ระบบ EIA/ EHIA มีข้อครหาเรื่องความโปร่งใสหรือเปล่า?มองอนาคตถึงความเสี่ยงหรือโอกาสการเปลี่ยนผ่านสู่ Green EEC ประเด็นสำคัญคือหากละเลยสิ่งแวดล้อม...ชุมชนจะสูญเสียพื้นที่ทำกิน ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรน้ำที่ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค อีกทั้งปัญหาสุขภาพระยะยาว เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ มะเร็ง ระบบประสาท ซึ่งเคยมีเกิดมาแล้วแน่นอนว่า...ความขัดแย้งทางสังคมระหว่าง “รัฐ” กับ “ประชาชน” จะยิ่งรุนแรง ส่งผลต่อเสถียรภาพและการลงทุนระยะยาว3 จังหวัดหลักของพื้นที่ EEC คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และบางส่วนของจังหวัดใกล้เคียง (จันทบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ฯลฯ) เป็นฐานอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อากาศยาน หุ่นยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การแพทย์ ฯลฯ...มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก...เป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมกว่า 30 แห่งวันนี้มีชื่อ “ปราจีนบุรี” ถูกผลักดันเข้าสู่ EEC จะเป็นความหวัง หรือเงื่อนไขให้กัดกร่อนชาวบ้านคนในพื้นที่สาละวันเตี้ยลงในหลายๆมิติหรือไม่? “ปราจีนบุรี” กำลังอยู่ในกระแสการพัฒนาและจับจ้องจากนักลงทุน ภาครัฐ...อย่างใกล้ชิดความเจริญรอบทิศรอบด้านฟังกี่ทีๆ ก็ดูดีมีความหวัง...คิดบวกแต่ภาพดีๆ แต่เมื่อเหลียวกลับมามองความกังวลและปัญหาที่จะตามมาจากจังหวัดรุ่นพี่ที่อยู่ในอีอีซีก็ยิ่งน่ากลัว โดยเฉพาะปัญหามลพิษหมักหมมเรื้อรังฝังกลบดินรอวันเปิดเผย ความเสี่ยงเรื่องมลพิษจากอุตสาหกรรม เช่น น้ำเสีย อากาศ เสียง ของเสียอันตรายความขัดแย้งระหว่างชุมชนดั้งเดิมกับพื้นที่อุตสาหกรรม รวมถึงการรุกล้ำพื้นที่เกษตรและป่าไม้...ปัญหาภัยแล้ง น้ำไม่เพียงพอ หากไม่ลงทุนเพิ่มในระบบจัดการน้ำ...ช่องว่างด้านการกระจายรายได้และความเหลื่อมล้ำ...ความเจริญอาจกระจุกตัวในบางอำเภอ เช่น ศรีมหาโพธิ หรือกบินทร์บุรี ทำให้พื้นที่อื่นๆยังล้าหลังที่สำคัญ...เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในพื้นที่เดิมกับแรงงานนอกพื้นที่ หรือกลุ่มทุนต่างชาติที่เข้ามาครอบครองที่ดินปลายเดือนที่แล้วได้มีการจัดเวทีการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมเมืองปราจีนบุรี ณ หอประชุมจังหวัดปราจีนบุรี...แม้ผังเมืองจะออกมาดูดี ไม่มีพื้นที่สีม่วงพื้นที่อุตสาหกรรม แต่ไส้ในที่เป็นบัญชีแนบท้ายกลับอนุญาตให้โรงงานลำดับที่ 101 105 106 สร้างได้ในพื้นที่สีเขียว?แต่เดิมพื้นที่สีเขียวตามกฎหมายผังเมืองเป็นพื้นที่สำหรับทำเกษตรกรรม หรือกิจกรรมการผลิตที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่โรงงานดังกล่าวล้วนเป็นโรงงานที่เกี่ยวข้องกับขยะอุตสาหกรรมซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนในพื้นที่ จะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่ถัดมา...ชุมชนย่านวัดแจ้ง เจอโครงการถนน หากประกาศผังตามนี้จริง ต้องมีการรื้อย้ายกว่า 100 หลังคาเรือน และ...มีความพยายามที่จะเปลี่ยนผังเมืองโซนบางเดชะที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (ขาวทแยงเขียว) ให้สามารถสร้างอุตสาหกรรมได้ลำพังมีแค่โรงเดียว ชาวบ้านในย่านใกล้เคียงยังเดือดร้อนจากฝุ่นขี้เถ้า ที่ปลิวมาตกตามบ้านเรือน ตากผ้าก็เปรอะเปื้อน นี่ยังไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพด้วยหรือเปล่า...เหล่านี้เสมือนแค่น้ำจิ้มๆเท่านั้นถ้า “คนปราจีน” ยังเงียบก็เท่ากับยอมรับ...เฟซบุ๊กเพจ “หยุดอีอีซีปกป้องปราจีนบุรี” ขอพลังคนปราจีนบุรีประกาศก้อง ต้องร่วมมือกันคัดค้าน EEC และให้ยกเลิกกฎหมาย EEC อย่างเด็ดขาดบทสรุป...การพัฒนาเศรษฐกิจไม่ควรต้องแลกกับหายนะทางสิ่งแวดล้อม “EEC”...อาจเป็นหัวรถจักรของเศรษฐกิจไทยในศตวรรษที่ 21 แต่หากยังพัฒนาโดยไม่ฟังเสียงของชุมชนและมองข้ามสิ่งแวดล้อม เราอาจกำลังปูทางสู่วิกฤติที่แก้ไขไม่ได้ในอนาคต“ประเทศไทย” จำเป็นต้องตัดสินใจให้ชัดเจนว่า เราจะเลือก “การพัฒนาแบบก้าวกระโดดที่มีมลพิษ” หรือ “การพัฒนาอย่างชาญฉลาดที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะธรรมชาติ”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม