สาวเจ้าของร้านทองนางรอง บุรีรัมย์ ไหวพริบดี ช่วยเหยื่อสาววัย 37 ที่กำลังจะขายทองตามคำสั่ง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปลอมตัวเป็นตำรวจหลอกเหยื่อว่ามีหมายจับกองปราบฯต้องคดียักยอกเงินรัฐ สั่งให้ขายทองโอนเงินมาให้ตรวจสอบว่า เกี่ยวพันคดีหรือไม่ ขณะที่รักษาการผู้บังคับการกองสารนิเทศออกโรงเตือนเพจปลอมอ้างหน่วยงานตำรวจ และหน่วยงานรัฐยังระบาด อย่าเชื่อ อย่าแชต อย่าคลิก พร้อมแนะวิธีสังเกตตำรวจสารนิเทศเตือนภัยระวังเล่ห์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ภาพโปรไฟล์ตำรวจและหน่วยงานรัฐหลอกลวง วันที่ 19 ม.ค. พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐ บรรณกร รอง ผบก.สปพ. รรท.ผบก.สท. เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ห่วงใยพี่น้องประชาชนเรื่องการถูกหลอกลวงทางออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบว่ามีมิจฉาชีพแอบอ้างหน่วยงานต่างๆของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สร้างสถานการณ์หลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ และยังพบว่ามีการใช้ภาพหัวหน้าหน่วยงานระดับสูงมาประกอบเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมมอบหมายให้กองสารนิเทศและหน่วยต่างๆ ร่วมประชาสัมพันธ์เตือนภัยพี่น้องประชาชน สร้างการรับรู้ป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเหล่านี้รรท.ผบก.สท.กล่าวต่อว่า สำหรับกลลวงของมิจฉาชีพลักษณะนี้จะสร้างเพจปลอมใช้ชื่อและภาพโปรไฟล์ทำให้ดูเหมือนเป็นหน่วยงานราชการจริง มักใช้ภาพตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐสร้างเนื้อหาเท็จเพื่อล่อลวง อาทิ ช่วยติดตามเงินคืนจากมิจฉาชีพ รับแจ้งความออนไลน์ เป็นต้น และมักซื้อโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงเหยื่อจำนวนมาก ให้สังเกตคำว่า“ได้รับการสนับสนุน” ใต้ชื่อเพจ อีกจุดสังเกตง่ายๆ คือ ที่คอมเมนต์จะมีการกดแสดงความรู้สึก จะพบว่ามีการกดโกรธจำนวนมาก หากพบเพจลักษณะดังกล่าวให้สันนิษฐานไว้ว่าเป็นเพจปลอมโดยกลุ่มมิจฉาชีพแน่นอนพ.ต.อ.วรศักดิ์กล่าวอีกว่า ตำรวจและหน่วยงานรัฐจะไม่เปิดรับเรื่องรับหลักฐานติดตามเงินคืนผ่านเพจ หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าเชื่อ อย่าแชต อย่าคลิก เพราะอาจนำไปสู่การถูกหลอกลวงติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงินเกลี้ยงบัญชี หลอกลงทุน หรือหลอกนำข้อมูลสำคัญไปก่ออาชญากรรม หากพบเห็นบุคคลใด หรือเว็บไซต์ใด ที่มีพฤติกรรมหรือน่าสงสัยว่าอาจเป็นกลุ่มมิจฉาชีพมาหลอกลวงพี่น้องประชาชนทางออนไลน์ หรือหากตกเป็นผู้เสียหายถูกหลอกลวงออนไลน์ แจ้งเบาะแสขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนศูนย์ AOC 1441 หรือแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์เดียวเท่านั้นคือ www.thaipoliceonline.go.th ตลอด 24 ชั่วโมงสำหรับเล่ห์แก๊งคอลฯที่อ้างหน่วยงานตำรวจจนเกือบจะต้มเหยื่อสำเร็จ ก่อนนี้เมื่อวันที่ 18 ม.ค. น.ส.ดุจฤดี เพียวพงษ์ อายุ 45 ปี เจ้าของห้างทองไทยวิจารณ์ ตลาดคิวรถ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า มีลูกค้าเป็นหญิงวัย 37 ปี เอาทองรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 1 บาทเศษ คิดเป็นเงินประมาณ 50,000 บาท มาขายที่ร้าน แต่มีท่าทางลุกลี้ลุกลนเหมือนหวั่นวิตกอะไรบางอย่างโดยคุยโทรศัพท์ไปด้วยแต่ไม่ยอมพูดกับร้าน พร้อมพยายามส่งสายตาทำปากขยับมาทางตนแต่ไม่มีเสียง จับใจความได้ว่าขอกระดาษกับปากกาจากทางร้านสาวเจ้าของร้านทองไทยวิจารณ์กล่าวต่อว่า เมื่อเอากระดาษปากกาไปให้ ลูกค้าสาวได้เขียนข้อ ความแล้วยื่นกลับมาให้ระบุว่า “ขายทองทั้งหมดเป็นเม็ดเงินโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบสินทรัพย์ มีไหม” เมื่ออ่านเสร็จ ได้เขียนตอบกลับไปว่าน่าจะเป็นมิจฉาชีพ พร้อมแอบสังเกตโทรศัพท์ลูกค้าลักษณะเหมือนกำลังคุยไลน์วิดีโอคอลอยู่ เห็นภาพด้านหลังมาจาก สภ.เมืองขอนแก่น เริ่มเอะใจพยายามถ่วงเวลาเพราะเชื่อว่าเป็นแผนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับสื่อสารเตือนภัยกับลูกค้าด้วยการเขียนข้อความบนกระดาษ และประวิงเวลาปฏิเสธการรับซื้อจากผู้เสียหายกว่า 30 นาที สุดท้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยอมวางสายไปน.ส.ดุจฤดีกล่าวต่อว่า จากนั้นได้สอบถามลูกค้าที่เอาทองมาขายได้รับคำตอบว่า ขณะอยู่ที่บ้านมีคนโทรศัพท์มา อ้างเป็นตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น บอกว่าตนติดคดีพร้อมส่งภาพหมายจับกองปราบฯและเอกสารต่างๆทางราชการเกี่ยวกับคดีมีชื่อผู้เสียหายมาให้ รู้สึกตกใจมาก ขณะที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ถามว่ามีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ผู้เสียหายบอกว่ามีแค่ 400 บาท คนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์สอบถามต่อว่ามีทองหรือไม่ พอทราบว่าผู้เสียหายมีทองอยู่ คนร้ายให้นำทองทั้งหมดไปขายที่ร้านทองแล้วโอนเข้าบัญชีเพื่อตรวจสอบ ที่สำคัญห้ามบอกสามีและห้ามบอกใครเด็ดขาดแม้กระทั่งร้านทอง สุดท้ายเหยื่อสาวคงเกิดความสงสัย ขอปากกากระดาษจากทางร้านให้เขียนหนังสือสื่อสารกันถึงทราบเลยอยากฝากแจ้งเตือนคนทั่วไปว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาหลากหลายรูปแบบแทบจะตามไม่ทัน โดยเฉพาะคนทั่วไปที่ไม่ค่อยดูข่าวสารอาจตกเป็นเหยื่อได้อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่