ร่วมทริป ฟอร์ด ประเทศไทย นำสื่อมวลชนเกษตรและผู้นำกลุ่มเกษตรกร เยี่ยมชมฟาร์มพืชและฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่มีชื่อเสียงใน จ.สุพรรณบุรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ฟอร์ดสายดุดัน ตะลุยสุพรรณฯ ไปกับ Ranger” จุดหมายแรก คือ ชุมชนเกษตรสร้างสรรค์สมหวังที่วังยาง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี หนึ่งในแหล่งเพาะปลูกแห้วขนาดใหญ่ที่สุดในบ้านเรา อีกทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่บริหารจัดการโดยสมาชิกในชุมชน นับเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีแห่งเดียวในประเทศที่เป็นแห้วจีไอ “อำเภอนี้มีสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม เป็นชุดดินสระบุรีไฮเฟต มีลักษณะคล้ายชั้นดินดาน เนื้อดินบนเป็นดินเหนียว ชั้นล่างเป็นดินเหนียวปนทราย ลึกประมาณ 50-70 ซม. ซึ่งเหมาะกับการปลูกแห้วที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน เพราะเมื่อแห้วลงหัว หัวของแห้วจะไปกองหรือแผ่ขยายในชั้นดินดาน ทำให้สะดวกในการเก็บเกี่ยว อีกทั้งต้นแห้วยังเจริญเติบโตได้ดี มีหัวใหญ่ เนื้อแน่น มีรสชาติและลักษณะที่แตกต่างจากแห้วที่ปลูกที่อื่น จนได้รับการยกย่องให้เป็นพืชประจำถิ่นของ จ.สุพรรณบุรี และได้รับจีไอหรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หนึ่งเดียวในประเทศไทย” ชิษณุ เชิดสุวรรณ เลขานุการวิสาหกิจชุมชนเชิงเกษตรสร้างสรรค์ สมหวังที่วังยาง เล่าถึงที่มาของแห้วหรือสมหวัง ที่มีถิ่นกำเนิดในจีน ก่อนจะแพร่หลายสู่พื้นที่ในเขตอบอุ่น ทั้งเอเชีย อเมริกา และอเมริกาใต้ โดย จ.สุพรรณบุรี เริ่มปลูกครั้งแรกตั้งแต่ปี 2493 ใน อ.สามชุก แต่ไม่ได้ผลนัก เพราะเกิดเพลี้ยไฟระบาด ต่อมาจึงนำมาปลูกใน อ.ศรีประจันต์ พบว่าได้ผลผลิตดีถึงไร่ละ 3-4 ตัน จึงปลูกกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน ทั้งนี้แห้วเป็นพืชลำต้นแข็งอวบ สูง 1-1.5 เมตร ดอกเกิดที่ยอดลำต้น รากหรือหัวมี 2 ประเภท ได้แก่ เกิดเมื่อต้นแห้วอายุ 6-8 สัปดาห์ และเกิดหลังจากแห้วออกดอก ไม่นาน หัวแห้วระยะเริ่มแรกจะเป็นสีขาวต่อมาเกิดเป็นเกล็ดหุ้มสีน้ำตาลไหม้ กระทั่งแก่จะได้หัวแห้วขนาดต่างกันต้นละ 7-10 หัวสำหรับแห้วที่นี่จะปลูกได้ปีละครั้งหลังนา ถือเป็นพืชอีกชนิดหนึ่ง ที่ปลูกหลังนาแล้วให้ผลผลิตที่ดี สร้างเงินสร้างงานให้กับเกษตรกรไม่ต่างจากข้าวเท่าไรนัก โดยเฉพาะการมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอด ใช้ระยะเวลาปลูกราว 7-8 เดือน เก็บเกี่ยวได้ไม่เกินเดือนเมษายน เพราะอากาศร้อนจะทำให้หัวแห้วไม่โต แต่สามารถปล่อยไว้ในน้ำได้ถึง 2 ปี หากนานกว่านี้หัวแห้วจะเน่าเสีย เลขานุการวิสาหกิจชุมชนเชิงเกษตรสร้างสรรค์ สมหวังที่วังยาง เล่าต่อไปว่า นอกจากแห้วที่นี่จะหัวใหญ่ เนื้อแน่นกว่าแห้วที่อื่นแล้ว ยังมีผลกลมคล้ายหอมใหญ่ เนื้อขาวสวยงาม รสชาติหวานมัน กรอบ ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวได้มาเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การปลูกแห้วแบบปลอดสารพิษ การเก็บแห้ว และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากแห้วสด อาทิ เฟรนช์ฟรายแห้ว น้ำแห้วสด หรือทับทิมกรอบ รวมถึงการแปรรูปด้านหัตถกรรม เช่น ชะลอมและตะกร้าใส่ไข่จากต้นแห้ว พัฒนาเป็นการเรียนรู้วิถีชุมชนทำแห้วที่ครบวงจร.กรวัฒน์ วีนิลคลิกอ่าน “ข่าวเกษตร” เพิ่มเติม