เพียงช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังปลาหมอสีคางดำ เอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) สิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ได้หลุดรอดเข้ามาอาศัยในแหล่งน้ำสาธารณะของประเทศไทย ได้สร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรสัตว์น้ำไทยไปไม่น้อย พร้อมขยายวงการระบาดออกไปเรื่อยๆ จนเกรงกันว่าจะแก้ยากเกินกว่าจะเยียวยาพร้อมกับเกิดคำถามสารพัด ใคร หน่วยงานไหน องค์กรใดกันแน่ที่ก่อปัญหาเช่นนี้ขึ้นมา???แน่นอน ผู้คนในสังคมย่อมจะชี้เป้าไปที่บริษัทเอกชน ผู้นำเข้าปลาชนิดนี้เข้ามาในประเทศ เพราะมีหลักฐานชัดเจน ระบุว่าปี 2553 กรมประมงได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนนำพันธุ์ปลาหมอสีคางดำ (Blackchin tilapia) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon mela notheron เป็นสายพันธุ์เดียวกับปลานิล เข้ามาเพื่อจุดประสงค์ในการทดลองปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ปลาหมอสีคางดำขนาด 1 กรัม จำนวน 2,000 ตัว ถูกส่งจากประเทศกานา มาถึงประเทศไทย 22 ธันวาคม 2553 และกรมประมงได้ทำการตรวจสอบ ณ ด่านกักกัน พบว่าปลาได้รับความเสียหายจากการขนส่งมากถึง 70% หรือราว 1,400 ตัว ยังเหลือปลาที่มีสภาพอ่อนแอเพียง 600 ตัวปลาดังกล่าวถูกนำไปพักฟื้นที่ฟาร์มวิจัย จ.สมุทรสงคราม และทยอยตายลงทุกวัน เพราะไม่แข็งแรง ในที่สุดเหลือเพียง 50 ตัวตั้งแต่ยังไม่เริ่มวิจัย ทำให้เอกชนตัดสินใจยุติโครงการวิจัยดังกล่าวและทำลายปลาทั้งหมดในวันที่ 6 มกราคม 2554รวมระยะเวลาที่ปลา ลอตนี้อยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้นเพียง 16 วัน (22 ธ.ค. 2553-6 ม.ค.2554) เป็นปลาขนาด 1 กรัมที่อ่อนแอ ขนาดเล็กมาก ไม่สามารถแม้แต่จะเอาชีวิตให้รอดได้ และไม่ใช่ระยะเจริญพันธุ์ที่ปลาจะวางไข่ได้เลยขณะที่การทำลายปลาทั้งหมดรวมถึงการเก็บซากปลาได้ส่งมอบให้กรมประมง เป็นไปตามหลักวิชาการและมาตรฐานที่กำหนดอย่างเคร่งครัดและเมื่อเริ่มพบการระบาดของปลาหมอสีคางดำ เมื่อปี 2560 “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์มของบริษัทใน จ.สมุทรสงคราม นักวิจัยของบริษัทยืนยันว่าไม่ใช่สาเหตุของการแพร่ระบาดแน่นอน จากเหตุผลข้างต้น หลังจากนั้นในปี 2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ออกประกาศห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้ ข้อสงสัยประเด็นแรกหมดไป ข้อสงสัยน่าสนใจประเด็นถัดมาโผล่มาให้เห็น ด้วยข้อมูลจากกรมประมงที่ระบุว่า ช่วงปี 2556-2559 ประเทศไทยมีการส่งออกปลาหมอสีคางดำในกลุ่มปลาสวยงามไปกว่า 3 แสนตัวโดยที่ภาครัฐไม่มีข้อมูลการขออนุญาตนำเข้าปลาสวยงามเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่ามี ผู้นำเข้าปลาชนิดนี้มาหลายราย และน่าจะเป็นการนำเข้าแบบลักลอบไม่ได้ขออนุญาตเป็นไปได้ว่าในช่วงนั้นกรมประมงยังไม่มีประกาศห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง และส่งออกปลาชนิดนี้ จึงทำให้วิธีปฏิบัติของพ่อค้าปลาสวยงามเป็นไปตามปกติวิสัยที่เคยทำอย่างไรก็ตาม เมื่อเลี้ยงจนถึงขั้นส่งออกได้ ก่อนส่งออกจำเป็นต้องขออนุญาต จึงทำให้กรมประมงสามารถบันทึกตัวเลขจำนวนตัวปลาไว้ ปรากฏเป็นยอดส่งออกหลายแสนตัว โดยมุ่งสู่ประเทศปลายทาง 15 ประเทศ แคนาดา, ซิมบับเว, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, รัสเซีย, มาเลเซีย, อาเซอร์ไบจาน, เลบานอน, ปากีสถาน, อียิปต์, สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์, อิสราเอล, อิหร่าน, โปแลนด์ และตุรกี โดยมีแหล่งรวมฟาร์มปลาสวยงาม-ปลาแปลกแหล่งใหญ่ของไทยตั้งอยู่ใน จ.ราชบุรี ถ้าลองไปสำรวจดูจะพบว่าพ่อค้า-แม่ค้าหลายรายไม่ใช่นักวิจัย ไม่ใช่นักวิชาการสัตว์น้ำ หลายรายรักปลาและไม่กล้าทำลายทิ้ง แต่เลือกที่จะปล่อยปลาเอาบุญ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการระบาดที่หลายคนมองข้าม ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับกุ้งเครย์ฟิชและปลาซัคเกอร์ ที่ทุกวันนี้ยังหาคนปล่อยกุ้งปล่อยปลาคนแรกไม่เจอ. ชาติชาย ศิริพัฒน์คลิกอ่าน "ข่าวเกษตร" เพิ่มเติม