ผบก.น.4 ยันเตรียมนำอดีต CEO สาวบริษัทดังถีบหน้ารอง ผกก.ส่งฟ้องศาลคดีเมาขับเมื่อปี 65 วันที่ 10 พ.ค.นี้ หลังตรวจพบยังไม่ส่งฟ้อง ยอมรับ พงส.คนเก่าบกพร่อง แต่ไม่มีเรื่องเงินเกี่ยวข้องอาจเป็นเพราะประมาทหรือขี้เกียจ เผย น.1 สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งระบบ ขณะที่พ.ต.ต.เจ้าของคดีที่ถูกย้ายไปนางเลิ้งแจงสำนวนทำเรียบร้อยส่งคืนโรงพักให้ผู้บังคับบัญชามอบหมายพนักงานสอบสวนคนใหม่ดำเนินการ แฉคดีเก่าอดีตซีอีโอสาวปฏิเสธเมาขับ 69 มก.เปอร์เซ็นต์ อ้างเป็นเพราะใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดเครื่องเป่าช่วงโควิด ขอให้ส่งตรวจพิสูจน์และผลยืนยันกลับมาแล้วไม่เกี่ยวกันกรณี น.ส.มนธ์สินี กีรติไกรนนท์ อายุ 51 ปี อดีตผู้บริหารบริษัทดัง ถูกจับกุมเมาแล้วขับ ทำร้ายร่างกายและต่อสู้ขัดขวางถีบหน้า พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รอง ผกก.5 บก.จร. ระหว่างนำตัวขึ้นรถส่งดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ เหตุเกิดที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ฝั่งตรงข้ามมัสยิด ถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตสวนหลวง กทม. เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 24 เม.ย. ถูกแจ้ง 3 ข้อหาหนัก เมาขับ ทำร้ายร่างกาย และต่อสู้ขัดขวางขณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ก่อนประกันตัวออกไป ตรวจสอบประวัติเคยถูกจับข้อหาเมาแล้วขับเมื่อวันที่ 17 ส.ค.65 เวลา 22.00 น. โดยการจับกุมดังกล่าวเป็นการจับกุมในพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุ และตำรวจที่จับกุมเป็นตำรวจจาก กก.5 บก.จร. เช่นเดียวกัน แต่ผู้ต้องหายืนยันเสียงแข็งมาตลอดไม่เคยถูกจับมาก่อน จนกระทั่ง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งให้ตรวจสอบพบว่าคดีนี้ยังไม่ได้นำตัวผู้ต้องหาสาวส่งฟ้องศาลความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 พ.ค. มีรายงานว่าในส่วนคดีที่ น.ส.มนธ์สินี กีรติไกรนนท์ ถูกจับเมาขับปี 65 ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่ากฎหมายกำหนดชุดจับกุม กก.5 บก. จร. นำผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ดำเนินคดี น.ส.มนธ์สินีให้การปฏิเสธข้อหา ยืนยันว่าไม่ได้เมา ที่เป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เพราะใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดฆ่าเชื้อโควิดทั้งมือและช้อนส้อม รวมถึงฉีดใส่ที่เครื่องเป่าวัดแอลกอฮอล์ ให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจให้ได้ว่าดื่มเหล้ามาถึงจะยอมรับผิด ต่อมา ร.ต.อ.เจ้าของคดี ย้ายไปขึ้นตำแหน่งสารวัตร (พ.ต.ต.) พนักงานสอบสวน ที่ สน.นางเลิ้ง โผแต่งตั้งระดับรอง สว.ถึงรอง ผกก.ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนเมาขับ น.ส.มนธ์สินี ยังอยู่ที่ สน.ประเวศ ไม่มีพนักงานสอบสวนคนไหนรับผิดชอบ และยังไม่มีการนำผู้ต้องหาไปส่งฟ้องศาลพ.ต.อ.สุรพงษ์ พุฒขาว ผกก.สน.ประเวศ เปิดเผยกรณีคดีเมาแล้วขับของ น.ส.มนธ์สินี เมื่อปี 65 ว่า ได้นัดผู้ต้องหาพบพนักงานสอบสวนวันที่ 10 พ.ค. เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาลคดีนี้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ได้ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธว่า ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 ระบาด ใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ฉีดภาชนะต่างๆ และฉีดทำความสะอาดร่างกายรวมทั้งที่เครื่องเป่า ทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้น ผู้ต้องหาขอให้ตำรวจส่งสเปรย์แอลกอฮอล์ไปตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แจ้งกลับมาไม่สามารถบอกโดยละเอียดได้ แต่บอกได้ว่าใช้เป็นพยานหลักฐานที่ทำให้พนักงานสอบสวนยังใช้แจ้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับกับผู้ต้องหาได้อยู่ สำหรับประเด็นที่สำนวนคดีนี้ยังไม่ได้ส่งฟ้อง เนื่องจากพนักงานสอบสวนขณะนั้นได้ย้ายไปก่อนผกก.สน.ประเวศกล่าวอีกว่า พนักงานสอบสวนได้ทำสำนวนเสร็จสิ้นแต่ย้ายไปก่อนโดยไม่ได้นัดผู้ต้องหามาส่งฟ้องและไม่มีใครมาตรวจสอบทำให้คดียังค้างอยู่ แต่พอเกิดเหตุล่าสุด ได้ตรวจสอบคดีย้อนหลังในระบบ พบว่ามีคดีอยู่ รีบสั่งสำนวนมานัดส่งฟ้อง ล่าสุดผู้บังคับบัญชาระดับนครบาลสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นความบกพร่องของใคร ต้องสอบสวนทั้งหมด ทั้งพนักงานสอบสวนและผู้บังคับบัญชา ผู้กำกับการ ส่วนคดีทำร้ายร่างกายรอง ผกก.5 บก.จร. อยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐาน หากพยานหลักฐานครบ สามารถสรุปสํานวนส่งฟ้องได้เลย โดยต้องทำภายในเวลา 30 วัน หลังจากเกิดเหตุจะทำให้เร็วที่สุดขณะที่พนักงานสอบสวนที่ทำคดี น.ส.มนธ์สินี ในข้อหาเมาแล้วขับเมื่อปี 65 ปัจจุบันคือ พ.ต.ต.ศิวนนท์ สงนุ้ย พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เปิดเผยว่า วันที่ตำรวจจราจรกลางนำตัว น.ส.มนธ์สินีมาบันทึกจับกุม คือวันที่ 17 ส.ค.65 ได้อธิบายถึงขั้นตอนและข้อหาที่จะดำเนินคดี แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธไม่ได้เมาบอกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ขึ้นสูง เพราะเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ปนเปื้อนกับแอลกอฮอล์ที่ฉีดฆ่าเชื้อ ได้เอาแอลกอฮอล์ผู้ต้องหาที่อ้างใช้ฉีดใส่เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อความเป็นธรรม และอนุญาตให้ประกันตัวในคืนนั้น โดยในใบสัญญาประกันระบุไว้แนบท้ายผู้ต้องหาจะต้องมาพบพนักงานสอบสวนคือตนที่ สน.ประเวศ วันที่ 19 ส.ค.65 เวลา 08.30 น. เพื่อนำตัวไปผัดฟ้องฝากขังตามขั้นตอนกฎหมายในกรณีที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ทั้งนี้จากการสังเกตโดยส่วนตัววันนั้นเห็นว่าผู้ต้องหามีอาการเหมือนกับคนเมาสุราพ.ต.ต.ศิวนนท์ สงนุ้ย เจ้าของคดีเมื่อปี 65 กล่าวต่อว่า แต่เมื่อถึงวันนัดผู้ต้องหาไม่มาพบ ทำให้ไม่สามารถนำไปผัดฟ้องที่ศาลจังหวัดพระโขนงได้และไม่ได้ติดต่อกับผู้ต้องหาเนื่องจากต้องรวบรวมหลักฐานทางคดี และรอผลตรวจแอลกอฮอล์ที่ผู้ต้องหาบอกว่าใช้ฉีดใส่เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จนทำให้ค่าแอลกอฮอล์ขึ้นสูงจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยวันที่ 14 พ.ย. ได้ทำหนังสือทวงถามผลตรวจแอลกอฮอล์ของกลางที่ส่งไป จากนั้นประมาณ 3 สัปดาห์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ส่งผลมาให้จนต้นเดือน ม.ค.66 ได้สรุปสำนวนเรียบร้อย แต่ช่วงกลางเดือน ม.ค. ตนติดภารกิจอบรมจึงยังไม่ได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา ต่อมา ก.พ.มีคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่อื่นทำให้สำนวนยังอยู่ที่ สน.ประเวศ แต่ได้ส่งสำนวนให้กับโรงพักเพื่อให้ผู้บังคับบัญชามอบหมายพนักงานสอบสวนรายอื่นรับช่วงต่อตามขั้นตอน จนกระทั่งทราบข่าวถึงขณะนี้ยังไม่มีการส่งฟ้องอดีตซีอีโอรายนี้ทั้งที่ทำสำนวนเสร็จแล้ว ยอมรับว่าตกใจ หลังจากนี้จะต้องไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนี้เช่นกัน ทั้งนี้ ขอชี้แจงถึงประเด็นหลังผู้ต้องหาออกรายการโหนกระแส และบอกว่าตนได้โทรศัพท์ไปหาหลังจากผู้ต้องหาถูกจับผ่านไป 3สัปดาห์ บอกว่าไม่ต้องมาพบตำรวจแล้ว เรื่องมันจบแล้ว ยืนยันว่าไม่เคยโทรศัพท์ไปบอกอย่างที่ผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์ด้าน พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผบก.น.4 เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งระบบให้ พ.ต.อ.นิภพล สุขนิยม รอง ผบก.น.4 เป็นประธาน ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลแต่เบื้องต้นคดีของอดีต CEO สาวรายนี้ ต้องแยกเป็นสองส่วนคือ คดีล่าสุดแบ่งเป็น 2 คดีคือ คดีทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ขัดขืนเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่และคดีเมาแล้วขับ โดยคดีทำร้ายร่างกายถือเป็นการกระทำที่ไม่ถึงแก่กาย ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่จากการให้สัมภาษณ์ของผู้ต้องหากับสื่อมวลชนยอมรับว่าถีบใบหน้าจริงแต่มีหมวกกันน็อกกั้นไว้ รอง ผกก.ผู้เสียหายไม่ติดใจแต่ติดใจคำพูดที่ดูถูกลูกน้อง ส่วนกรณีเมาแล้วขับพบปริมาณแอลกอฮอล์ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ พนักงานสอบสวนดำเนินการตามขั้นตอนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และจะส่งฟ้องภายหลังผบก.น.4 กล่าวต่อว่า ส่วนคดีเก่าข้อหาเมาแล้วขับ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.65 ตรวจสอบพบยังไม่มีการสั่งฟ้องถือเป็นความบกพร่องของพนักงานสอบสวนคนเก่าที่อยู่ สน.ประเวศ แต่ปัจจุบันย้ายไป สน.นางเลิ้ง อยู่คนละกองบังคับการ ต้องทำหนังสือรายงานส่งไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เพราะอยู่นอกอำนาจ บก.น.4 ต้องให้ ผบช.น.พิจารณาสั่งการและตรวจสอบว่าการทำสำนวนไม่เรียบร้อย ผู้บังคับบัญชาจะตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยพล.ต.ต.ธนันท์ธรกล่าวต่อว่า ส่วนการที่พนักงานสอบสวนคนดังกล่าวอ้างว่าทำสำนวนเสร็จเรียบร้อยก่อนโยกย้ายเป็นสิ่งที่จะพูดอย่างไรก็ได้ แต่จากการตรวจสอบพบว่าสำนวนคดีไม่เรียบร้อยจริง วันเกิดเหตุผู้ต้องหาเป่าแอลกอฮอล์อยู่ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่อ้างว่าได้ฉีดแอลกอฮอล์บริเวณแขนลำตัว และเครื่องเป่า ทำให้แอลกอฮอล์ที่ตรวจวัดได้ไม่ได้เกิดจากการดื่ม ร้องขอให้พนักงานสอบสวนส่งแอลกอฮอล์ไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก่อนได้รับผลตอบกลับมาว่าไม่เกี่ยวกัน สำหรับคดีที่ไม่เรียบร้อยและไม่ส่งฟ้องนั้น ได้ประสานอดีต CEO สาวผู้ต้องหาจะนำไปส่งฟ้องในวันที่ 10 พ.ค.67 ส่วนเรื่องความไม่เรียบร้อยของสำนวนคดีถือว่ามีความผิดพลาด จะพิจารณาอย่างไรขึ้นอยู่กับคณะกรรมการตรวจสอบ ยืนยันว่าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจเป็นเพราะพนักงานสอบสวนประมาทหรือขี้เกียจผบก.น.4 กล่าวอีกด้วยว่า ส่วนที่มีข้อบกพร่องแต่กลับได้เลื่อนชั้นยศมองว่าไม่เหมาะสมนั้น ในตอนนั้นต้นสังกัดไม่รู้เรื่อง เพิ่งมารู้และเมื่อรู้แล้วก็ได้ลงโทษ ส่วนระยะเวลาที่ส่งสำนวนสั่งฟ้องล่าช้านานกว่า 2 ปี ถือว่าไม่เป็นอุปสรรคนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้อง ขอฝากไปยังประชาชนเมาแล้วอย่าขับ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นว่า หลายคดีมีถึงขั้นตำรวจเสียชีวิต ส่วนตัวไม่ห่วงเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจแต่เป็นห่วงประชาชนมากกว่าที่จะได้รับความเดือดร้อนทั้งชีวิตและทรัพย์สินอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่