ตำรวจร่วมกับทีมสหวิชาชีพสอบเครียด “นิ่ม” แม่น้องต่อ หลังยอมสารภาพเป็นคนทำลูกชายวัย 8 เดือนตกพื้นเสียชีวิตก่อนนำศพไปทิ้งแม่น้ำท่าจีนห่างบ้าน 200 เมตร พนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อหาคุมตัวฝากขังศาลเยาวชน พ่อยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวออกไป ขณะที่ “บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่เชื่อตามคำให้การ สั่งสอบขยายผลมีใครเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ ด้านทีมกู้ภัยลุยค้นหาร่างหนูน้อยตามคำบอกเล่าของแม่วัยรุ่น แต่ยังไร้ร่องรอย เตรียมแผนจัดนักประดาน้ำดำหาใต้น้ำต่อ ส่วนฝั่งพ่อผัวไม่เชื่อลูกสะใภ้จะพูดความจริง ยังมีความหวังหลานชายจะมีชีวิตอยู่ กลายเป็นคดีความรุนแรงในครอบครัวที่สังคมให้ความสนใจ กรณี ด.ช.ต่อ (นามสมมติ) หนูน้อย วัย 8 เดือน ลูกชาย น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี จากบ้านใน ต.หินมูล อ.บางเลน จ.นครปฐม ที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังออกค้นหามาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 20 วัน แต่ยังไม่พบร่องรอย ขณะที่ น.ส.นิ่มยังคงยืนยันตั้งแต่ต้นว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำของลูกชาย ขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่ล่าสุดพบว่า ช่วงดึกวันเกิดเหตุแม่เด็กเดินเข้าไปในป่ารกริมแม่น้ำท่าจีนอย่างมีพิรุธ ก่อนถูกตำรวจนำตัวมาสอบเค้นอีกรอบในที่สุดแม่วัยใสยอมเปิดปากรับสารภาพว่าพลั้งมือทำลูกชายตกกระแทกพื้นเสียชีวิตก่อนนำศพไปทิ้งแม่น้ำ โดยเมื่อวันที่ 27 ก.พ. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าถึงคดีดังกล่าวขณะเดินทางไปชี้แจงการค้ามนุษย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า จากการสอบสวนแม่น้องต่ออีกครั้งจนถึงเที่ยงคืนที่ผ่านมาปรากฏว่า น.ส.นิ่ม ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นคนนำลูกไปทิ้งแม่น้ำ จุดทิ้งอยู่ช่วงคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ำท่าจีน อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 100-200 เมตร อ้างสาเหตุว่าทำลูกตกพื้นขณะอาบน้ำ ทำให้เด็กมีอาการชักและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงนำลูกไปทิ้งในน้ำ แต่ตำรวจยังไม่ได้ปักใจเชื่อคำให้การของแม่เด็ก อยู่ระหว่างสอบปากคำเพิ่มเติม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า หลังแม่เด็กรับสารภาพว่าเป็นคนก่อเหตุนำเด็กไปทิ้งได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตว่าเป็นการเสียชีวิตก่อนถึงคลอง หรือเสียชีวิตหลังจากทิ้งลงคลองไปแล้ว ประเด็นคำรับสารภาพของแม่เด็กตำรวจไม่ได้รับฟังทั้งหมดจะต้องสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุอีกหรือไม่ เจ้าหน้าที่ต้องนำรายละเอียดการสอบปากคำมาตรวจสอบกับพยานหลักฐานด้านอื่นๆที่ตำรวจทำมาตั้งแต่ต้นเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาเหตุของการเสียชีวิต ยืนยันว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจจะต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อนำรายละเอียดของคดีเข้าสู่ขบวนการสอบสวนและจะต้องแจ้งข้อกล่าวหากับแม่ของเด็ก“คำให้การของแม่เด็กสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตำรวจตั้งไว้ เพราะเชื่อว่าคดีนี้ผู้ต้องสงสัยจากการหายตัวไปของน้องต่อน่าจะเป็นคนใกล้ตัว แต่แม่เด็กให้การปฏิเสธมาตลอด ทำให้ต้องตรวจสอบหาพยานหลักฐานนำมายืนยัน ตำรวจมีครบทั้งพยานบุคคลแวดล้อมจากโทรศัพท์และผลตรวจเครื่องจับเท็จที่แสดงให้เห็นว่านิ่มโกหกตั้งแต่วันแรกจนทำให้แม่ของเด็กเปิดปากรับสารภาพ แต่ตำรวจยังไม่เชื่อทั้งหมด ส่วนการค้นหาเด็กโอกาสเจอค่อนข้างยากเพราะเวลาผ่านมาหลายวันแล้ว” รอง ผบ.ตร.กล่าวที่ สภ.บางหลวง อ.บางเลน เช้าวันเดียวกัน พล.ต.ต.บุญฤทธิ์ รอดมา รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.อุทัย กวินเดชาธร รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผบก.ภ.จ.นครปฐม พ.ต.อ.พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา รอง ผบก.ภ.จ. นครปฐม พ.ต.อ.ณัฐพิสิษฐ์ รัตนอุดมพล ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.7 พ.ต.อ.ภาณุภัต เหลือสัจจกุล ผกก.สส.ภ.จ.นครปฐม และ พ.ต.อ.สุธี วรรณสูตร ผกก.สภ.บางหลวง ท้องที่เกิดเหตุร่วมกับทีมสหวิชาชีพ อัยการจังหวัดนครปฐม เจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครปฐม เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน 7 และพนักงานสอบสวนหญิงร่วมสอบปากคำนิ่ม แม่น้องต่อที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี โดยใช้เวลากว่า 6 ชม. พ.ต.อ.สุธี วรรณสูตร ผกก.สภ.บางหลวง เปิดเผยหลังประชุมว่า กรณีของนิ่มที่ยังเป็นเยาวชนตำรวจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสหวิชาชีพสอบปากคำตามขั้นตอนของกฎหมาย หลังจากคำ ให้การขั้นต้นนิ่มยอมสารภาพ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหา น.ส.นิ่ม 3 ข้อหา คือ 1.กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ และ 3.แจ้งความเท็จแก่พนักงานทั้งนี้ หลังสอบปากคำ ร.ต.อ.จิรโชติ สาวิกัน พนักงานสอบสวนนำตัวนิ่มไปฝากขังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจังหวัดนครปฐม โดยมีพ่อของนิ่มที่มาให้กำลังใจลูกสาวที่โรงพักตั้งแต่เช้าติดตามไปด้วย พร้อมยื่นหลักทรัพย์วงเงิน 10,000 บาท ขอประกันตัวนิ่ม ศาลอนุญาตให้ประกันไปอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง ด้านพ่อนิ่มเผยสั้นๆว่าไม่ทราบมาก่อนว่าลูกยอมรับว่าฆ่าหลานเพิ่งรู้พร้อมกับทุกๆคน ส่วนปฏิบัติการค้นหาน้องต่อยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงเช้า นายณรงค์ชัย เข็มทอง สารวัตรกำนันตำบลหินมูล อ.บางเลน นำรถแบ็กโฮไปช่วยขุดกอไผ่แห้งบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำท่าจีนตามคำให้การของนิ่มว่านำลูกมาโยนทิ้งน้ำ เผื่อว่าร่างของน้องต่อจะลอยมาติดในกอไผ่แห้งในแม่น้ำท่าจีน หลังตักกอไผ่เสร็จตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษทางน้ำร่วมกับชุดปฏิบัติการใต้น้ำของมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐมช่วยกันค้นหาร่างน้องต่อ ไล่ตั้งแต่คลองท่อที่ไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีน เบื้องต้นยังไม่พบร่องรอย คาดว่าหากนิ่มนำลูกมาทิ้งจริงๆอาจถูกซัดไปตามกระแสน้ำหรืออาจถูกสัตว์น้ำหรือตัวเงินตัวทองแทะกินเป็นอาหารก็เป็นได้นายสมภพ สอนดอนไพร ทีมกู้ภัยของมูลนิธิสุขศาลานุเคราะห์นครปฐม เปิดเผยว่า ภารกิจการค้นหาน้องต่อยังต้องดำเนินการต่อไป ตอนนี้ทีมงานได้ตั้งเต็นท์เป็นจุดบัญชาการการทำงานของภาคพื้นน้ำ แต่การปฏิบัติหน้าที่มีปัญหาอุปสรรคบริเวณปากคลองท่อที่จะออกแม่น้ำท่าจีนมีกิ่งไผ่สะสมใต้น้ำจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานค่อนข้างยาก การค้นหาวันนี้ยังไม่พบหลักฐานอะไรที่เชื่อมโยงไปถึงน้องต่อ ขั้นตอนต่อไปเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างหารือกันเพื่อวางแผนดำน้ำลงไปค้นหาใต้แม่น้ำท่าจีน ด้านนายวินท์ สุธีรชัย ประธานมูลนิธิวินวิน เดินทางไปที่ สภ.บางหลวง อ.บางเลน เพื่อติดตามคดีของ น.ส.นิ่ม จากนั้นเปิดเผยว่า มูลนิธิส่งทีมงานมาดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่แรกที่ช่วยค้นหาเด็ก สิ่งที่พบในพื้นที่ตั้งแต่ชาวบ้านและ น.ส.นิ่มต่างรู้สึกไม่มีความเชื่อมั่นและไม่สบายใจที่จะคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐ มูลนิธิจึงมาเป็นผู้ประสานงานคุยกับนิ่มและเป็นที่มาที่ทำให้แม่เด็กยอมเปิดใจกับเจ้าหน้าที่รัฐ จากนี้ตำรวจจะพา น.ส.นิ่มไปสอบปากคำ หากพบการกระทำผิดจะต้องแจ้งข้อหา ในกระบวนการสอบสวนจะมีทั้งอัยการ นักจิตวิทยา และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้ามาร่วมด้วย มูลนิธิจะให้ความช่วยเหลือครอบครัวของนิ่ม เพื่อให้นิ่มเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างสบายใจ“ตอนนี้นิ่มยอมเปิดใจแล้วว่าความจริงเกิดอะไรขึ้น เบื้องต้นเกิดจากความไม่ตั้งใจเป็นอุบัติเหตุ เพราะนิ่มยังต้องดูแลพ่อแม่และลูกตัวเอง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทำให้ลูกต้องจากไปโดยไม่ตั้งใจ แรกๆนิ่มอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนมารุมล้อม ทำให้เกิดภาวะเครียด แต่เมื่อมูลนิธิมาอยู่ด้วย นิ่มจึงสบายใจและยอมเปิดใจพูดคุยมากขึ้น นิ่มบอกว่าพุทธสามีไม่มีส่วนรู้เห็นเพราะนิ่มกลัว หากสามีรู้อาจจะเกิดอันตราย นี่คือที่มาที่ไปของทั้งหมดที่นิ่มไม่อยากให้ใครรู้” นายวินท์กล่าวขณะที่ น.ส.สุกัญญา สัตนาโค หัวหน้ากลุ่มอำนวยความยุติธรรมและนิติการ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครปฐม เปิดเผยภายหลังเดินทางไปติดตามคดีดังกล่าวว่า บทบาทภารกิจของสำนักงานยุติธรรมจังหวัดนครปฐมจะดำเนินการตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าใช้จ่ายและค่าตอบแทนแก่จำเลยในคดีอาญา กรณีนี้หมายความว่าทุกคนในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างด้าว หากถูกทำร้าย ถูกฆ่าตาย พ.ร.บ.จ่ายค่าทดแทนจะเข้ามาดูแลทายาทที่ยังคงอยู่ แต่ในกรณีคดีของนิ่มหลังจากรับสารภาพจะต้องดูผลทางคดีก่อนว่าจะออกไปในทิศทางไหน กระทรวงยุติธรรมจะให้ความรู้ด้านกฎหมายและมีกองทุนยุติธรรมเรื่องการใช้ทนายความในการช่วยเหลือด้านคดีที่ประชาชนร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นการสู้คดีหรือความรู้ด้านกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่ง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนนายสุบินทร์ แสงสว่าง อายุ 67 ปี พ่อของนายสิทธิโชค หรือพุทธ แสงสว่าง อายุ 19 ปี สามีนิ่มที่ตกเป็นผู้ต้องหาเป็นธุระจัดหาให้มีการ ค้าประเวณี หลังให้เมียขายบริการ ออกมาเปิดเผยหลังทราบว่า น.ส.นิ่ม ลูกสะใภ้ รับสารภาพว่า ไม่เชื่อว่าลูกสะใภ้จะเอาหลานไปทิ้ง เพราะนิ่มโกหกเป็นประจำ เชื่อถือไม่ได้ เวลามีคนชี้นำว่าเป็นทางน้ำนิ่มก็จะบอกแบบนั้น แต่หากคนชี้นำว่าทางบกก็จะบอกว่าทางบก ส่วนที่บอกว่าอุ้มลูกตกพื้นจนตายก็ไม่เชื่อแน่นอน เพราะน้องต่อเป็นเด็กแข็งแรงหล่นพื้นแล้วเสียชีวิตเลยเป็นไปไม่ได้ ถ้าทำลูกตกพื้นตายแล้วทำไมถึงเอาไปทิ้งน้ำ ทำไมไม่เก็บไว้ทำพิธีทางศาสนา คำให้การเท็จของนิ่มทำชาวบ้านและเจ้าหน้าที่วุ่นวาย เสียเวลาตามหาน้องต่อมานานกว่า 20 วันแล้ว แต่ถ้าเป็นจริงตามคำรับสารภาพก็แค้นมาก เพราะจิตสำนึกไม่มีเลย อย่างไรก็ตามยังมีความหวังน้องต่อจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนด้าน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงคดี น.ส.นิ่มสารภาพว่านำน้องต่อ ลูกชายวัย 8 เดือนไปทิ้งน้ำว่า กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การท้องไม่พร้อมทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ เป็นปัญหาทั้งระบบและปัญหาสุขภาพจิต ที่กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้องร่วมดูแล เพราะเป็นเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา กรณีของ น.ส.นิ่มอาจจะไม่รู้ว่ามีสวัสดิการช่วยเหลือกรณีท้องไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมาย หรือหากประสงค์จะตั้งครรภ์ต่อก็จะมีระบบดูแลต่อ มีหน่วยงานเข้าไปดู และมีเงินสวัสดิการสำหรับเด็กแรกคลอดเดือนละ 600 บาท รวมถึงอบรมอาชีพให้ดูแลตัวเองได้ในระยะยาวส่วนที่มีการพูดต่อๆกันว่าผู้ก่อเหตุเป็นไซโคพาธ นั้น นพ.ยงยุทธกล่าวว่า เรื่องไซโคพาธเป็นบุคลิกภาพต่อต้านสังคม มักใช้ในกลุ่มที่มีประวัติอาชญากรรมโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน หากมีภาวะนี้จริง จะไม่ได้รับการยกเว้นโทษ ยกเว้นมีปัญหาจิตฟั่นเฟือน หรือมีจิตบกพร่องถึงจะได้รับข้อยกเว้น อย่างไรก็ตามการดูแลเด็กเยาวชนที่กระทำผิดตามกฎหมายจะเน้นเรื่องการฟื้นฟูเยียวยามากกว่าการลงโทษ และมุ่งให้เกิดการพัฒนาตนเอง สภาพจิตใจให้สามารถกลับมาอยู่ในสังคมได้ ดังนั้น บทลงโทษจึงให้ไปอยู่ที่สถานพินิจฯ ส่วนข้อสงสัยเรื่องปัญหาซึมเศร้าหลังคลอดที่อาจจะเกิดกับแม่ทุกคนนั้น ความรุนแรงพบได้ประมาณ 10-20% แต่ตัวแปรสำคัญคือ ภาวะดังกล่าวเป็นผลกระทบจากการตั้งครรภ์ที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เป็นการซึมเศร้าเฉพาะตน ทำให้ตำหนิตนเอง และทำร้ายตัวเอง ส่วนการทำร้ายคนอื่นนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก