ปีที่ผ่านมาผู้เลี้ยงหมูไทยต้องฝ่าฟันวิกฤติมาตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกา ทำหมูในประเทศลดลงกว่า 50% ปริมาณเนื้อหมูไม่เพียงพอต่อการบริโภค ส่งผลให้มิจฉาชีพสบช่องฉกฉวยโอกาสลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเข้ามาเทขายในราคาถูกสุดท้ายราคาหมูหน้าฟาร์มตกต่ำ ซ้ำเติมเกษตรกรให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตสูง ทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้น การอ่อนตัวของค่าเงินบาท รวมทั้งนโยบายรัฐที่ทำให้ข้าวโพดไทยราคาสูงกว่าตลาดโลก ยังไม่รวมต้นทุนจัดการระบบป้องกันโรคที่เพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรหลายรายก็ยังยืนหยัดประคับประคองธุรกิจจนผ่านเข้าสู่ปีกระต่ายทองมาได้สำหรับโจทย์ใหญ่ ที่ผู้เลี้ยงหมูยังต้องเผชิญ ในปีนี้ เริ่มจาก “ต้นทุนการผลิตสูง” โดยสมาคม ผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย คาดการณ์ว่า ในปีนี้ ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป ขณะที่ไทยผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้เพียง 40% ที่เหลืออีก 60% ต้องพึ่งพาการนำเข้าแต่ต้องมาติดกับดักสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผู้ส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รายสำคัญของโลก ที่ยังไม่มีสัญญาณจะสิ้นสุดได้ในเร็ววัน นอกจากนี้ จีนผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลกก็เร่งกวาดซื้อวัตถุดิบจำนวนมหาศาล หลังเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19สวนทางกับประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบที่สำคัญของโลกต้องประสบปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตไม่ได้ตามเป้า ทำให้ราคาปรับขึ้น เท่านี้ยังไม่พอ ภาวะเงินบาทอ่อนก็เข้ามาซ้ำเติม ส่งผลให้การนำเข้าวัตถุดิบมีต้นทุนเพิ่มขึ้นขณะที่นโยบายภาครัฐที่ต้องการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ ทั้งมาตรการประกันรายได้ การจำกัดเวลานำเข้าข้าวโพด มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 รวมถึงการจัดเก็บภาษีนำเข้า เช่น ภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% ปลาป่น 15% DDGS 9% รวมถึงเก็บภาษีนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO ในโควตา 20% นอกโควตา 73% ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นทั้งนี้ คาดว่าในปี 2566 ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อรวมกับต้นทุนค่าแรง ค่าพลังงาน ที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ที่น่าจะปรับขึ้นอีกประมาณ 15-20% ย่อมกระทบต่อต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์แน่นอน.สะ-เล-เต