ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต “สาธิต รังคสิริ” อดีตอธิบดีกรมสรรพากร “ศุภกิจ หรือสิริพงศ์ ริยะการ” อดีตสรรพากรพื้นที่ 22 บางรัก ร่วมกันชดใช้เงินกว่า 3 พันล้านบาท และริบของกลางทองคำแท่งมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ในคดีรู้เห็นเป็นใจ ละเว้นไม่ตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ กรณีบริษัทประกอบกิจการขายแร่โลหะ ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ระหว่างปี 55-56 ก่อนคอตกถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวเข้าเรือนจำที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 19 ส.ค. ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อท.126/2562 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริต 1 ยื่นฟ้องนายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 นายศุภกิจ หรือสิริพงศ์ ริยะการ อดีตสรรพากรพื้นที่ 22 บางรัก (ระดับ 9) จำเลยที่ 2 นายประสิทธิ์ อัญญโชติ จำเลยที่ 3 (ซึ่งเป็นพวกของบริษัทแร่และเป็นผู้มารับเงินคืน) นายกิติศักดิ์ อัญญโชติ (บุตรจำเลยที่ 3) จำเลยที่ 4 ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการรักษาทรัพย์ใช้อำนาจในตำแหน่งทำให้เกิดความเสียหาย เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามป.อาญา ม.147 ม.151 ม.157 และเป็นผู้สนับสนุนความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 20 พ.ค.55 ถึงวันที่ 26 ต.ค.56 พวกจำเลยที่ทำทีประกอบกิจการขายแร่โลหะร่วมกันขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยแสดงข้อความเท็จต่อกรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่กรม สรรพากรและเจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่กรุงเทพ-มหานคร 22 เพื่อให้ได้ไปซึ่ง “เงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม” โดยทุจริต จำเลยที่ 1 เป็นอธิบดี และจำเลยที่ 2 เป็นสรรพากรเขต ทราบดีถึงความเท็จดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น แต่กลับรู้เห็นเป็นใจด้วยการร่วมกันใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและทุจริต ใช้อำนาจสั่งการให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถานประกอบการเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้พิจารณาเสนอความเห็น “ยุติการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพกิจการของบริษัทนิติบุคคล” ซึ่งประกอบกิจการแร่โลหะ จำนวน 25 บริษัท ที่ขอคืนภาษีและให้คืนภาษีให้แก่บริษัททั้ง 25 แห่งดังกล่าว ทั้งที่ยังมีข้อสงสัยว่าเป็นผู้ประกอบการจริงหรือไม่ นอกจากนี้ จำเลยที่ 2 ละเว้นไม่สั่งการให้ตรวจสอบสถานประกอบการ ไม่สั่งการให้ตรวจสอบการซื้อขายสินค้าวัตถุดิบการเก็บรักษาสินค้า การจ้างแรงงานเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วน ทั้งยังเร่งรัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอสำนวนการตรวจสภาพกิจการอันการเป็นผิดระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการตรวจปฏิบัติการ พ.ศ.2554ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกรมสรรพากร ทราบดีว่าการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่ได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนตามแนวทางปฏิบัติและระเบียบกรมสรรพากร เมื่อตรวจพบความผิดปกติเกี่ยวข้องกับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มนี้รายงานมายังจำเลยที่ 1 กลับสั่งให้สำนักงานตรวจสอบภาษีกลางไปตรวจสอบใบขนสินค้าขาออกกับกรมศุลกากรว่ามีการส่งออกจริงหรือไม่เท่านั้น เป็นการสั่งการที่จงใจให้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งที่ข้อสำคัญจะต้องสั่งการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าผู้ขอคืนภาษีประกอบกิจการจริงหรือไม่ ขัดต่อแนวทางปฏิบัติกรมสรรพากรในการกำกับดูแลผู้เสียภาษีโดยใกล้ชิดเป็นรายผู้ประกอบการและให้เป็นปัจจุบัน นอกจากนี้ ผลตรวจสอบใบขนส่งสินค้าขาออกยังไม่ได้ข้อเท็จจริงว่ามีการขนส่งสินค้าออกจริงหรือไม่ กรณีดังกล่าวจึงไม่สามารถอนุมัติคืนภาษีได้หากไม่มีธนาคารมาค้ำประกัน แต่จำเลยที่ 1 กลับเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้ง ทั้งยังอาศัยอำนาจบังคับบัญชาติดตามเร่งรัดพร้อมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 เพื่อให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งโดยเร็วพฤติการณ์ของจำเลยกับพวกเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้ข้อเท็จจริงที่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งนั้นไม่มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มถูกปกปิดไว้ ในการนี้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 กับพวกได้มารับเอาเงินจำนวนตามที่ได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทนิติบุคคลทั้ง 25 แห่งดังกล่าวไปแบ่งปันกันโดยทุจริตกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 นำเงินบางส่วนที่ได้รับแบ่งปันโดยทุจริตไปซื้อทองคำแท่งไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว การกระทำของพวกจำเลยเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบและทุจริตเบียดบังเงินของรัฐไปเป็นของตนเองและบุคคลอื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้กรมสรรพากรและรัฐได้รับความเสียหาย 3,097,016,533.99 บาท ขอให้ลงโทษตามกฎหมาย และให้ริบทองคำแท่งน้ำหนัก 77 กิโลกรัม และทองคำแท่งน้ำหนักรวม 7,000 บาท รวมทั้งทองคำแท่งตามบัญชีแนบท้ายฟ้อง กับให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงินที่เบียดบังเอาไปและยังไม่ได้คืน 3,097,016,533.99 บาท แก่กรมสรรพากรพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตาม ป.อาญา ม.147 (เดิม) ม.151 (เดิม) และ ม.157 (เดิม) ประกอบ ป.อาญา ม.83 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ม.123/1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสียและฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐหรือเจ้าของทรัพย์ ซึ่งเป็นบทหนักซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย แต่เพียงบทเดียว ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตลอดชีวิตจำเลยที่ 3 มีความผิดตาม ป.อาญา ม.157 (เดิม) ม.265 (เดิม) ม.268 (เดิม) ม.341 (เดิม) ประมวลรัษฎากร ม.90/4 (3) (6) (เดิม) (7) โดยเป็นผู้สนับสนุนกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษจำคุก 6 ปี 8 เดือน และให้จำเลยที่ 1, 2, 3 ร่วมกันชดใช้เงิน 3,097,016,533.99 บาท แก่กรมสรรพากรและให้นับโทษของจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำ ฟย.23/2560 (หมายเลขแดง ฟย.47/2561) ของศาลอาญา และให้ริบของกลางทองคำแท่งน้ำหนัก 77 กิโลกรัม ทองคำแท่งหนัก 7 พันบาท รวมทั้งทองคำแท่งทุกรายการที่ส่งมอบแก่คณะกรรมการจัดการทรัพย์สิน เมื่อวันที่ 15 พ.ย.62 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ส่วนจำเลยที่ 4 ไม่มีความผิดให้ยกฟ้องภายหลังศาลมีคำพิพากษา จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องประกันตัว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณามีคำสั่ง ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่ได้ยื่นประกันตัวแต่อย่างใด กระทั่งครบเวลาราชการ ศาลอุทธรณ์ยังไม่มีคำสั่งลงมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยทั้งสามไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร(ภาพประกอบจาก : แฟ้มภาพ)