จากกรณีที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดำเนินคดีกับคลินิกอบอุ่น 18 แห่ง ที่พบว่ามีการทุจริตงบบัตรทอง และขยายผลตรวจพบการทุจริตเพิ่มอีก 63 แห่งนั้น ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากที่มีการตรวจสอบพบการทุจริตและได้มีการดำเนินการกับ 18 คลินิก และ 63 คลินิกแล้ว สปสช.ได้มีมติให้ดำเนินการขยายผลการตรวจสอบไปยังคลินิกทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร (กทม.) จากนั้นจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังในระยะ 10 ปี และขยายการตรวจสอบไปยังพื้นที่ปริมณฑลต่อไป เป็นการปูพรมโดยไม่มีการละเว้นใคร เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันนายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตครั้งนี้ จะเป็นการดำเนินการในส่วนของทางคดีอาญา ยังไม่นับความเสียหายทางแพ่ง และความผิดทางวิชาชีพที่กำลังดำเนินการอยู่ และในส่วนของคดีอาญานั้น ดีเอสไอจะเร่งรัดดำเนินการ และพิจารณาว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่ เพื่อดำเนินการออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเนื่องจากเป็นการกระทำผิด เป็นการฉ้อโกงซ้ำๆหลายครั้ง จึงจะมีเรื่องของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การฟอกเงิน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนางจันฑนา จินดาถาวรกิจ ผอ.กองกฎหมาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ในส่วนของคลินิกทั้ง 18 แห่ง ซึ่ง สปสช.ได้เพิกถอนการเป็นหน่วยบริการไปแล้ว ทาง สบส.จึงเข้ามาดำเนินการในฐานะหน่วยงานดูแลกำกับ โดยขณะนี้ทั้ง 18 แห่ง มีกำหนดระยะเวลา 15 วันที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะครบในวันที่ 30 ก.ค.นี้ หากแก้ไขไม่เสร็จสิ้นก็จะต้องมีคำสั่งปิดชั่วคราว โดย สบส.จะดำเนินการทั้งในด้านมาตรฐานสถานพยาบาล และมาตรฐานวิชาชีพ โดยในส่วนของตัวผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นแพทย์ หากมีความผิดก็ต้องส่งเรื่องดำเนินการไปยังแพทยสภาด้าน พ.ต.ท.ภิรมย์ เมืองไสย รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม กล่าวว่า หลังจากที่ทางกองปราบปรามได้รับการร้องทุกข์แล้ว ในด้านคดีเห็นว่ามีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก จึงได้ตั้งคณะพนักงานสอบสวน และรวบรวมหลายหน่วยเข้ามาร่วมทำการสอบสวนเพื่อให้คดีรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในชั้นนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารร่วมกับ สปสช.“สปสช.จะคัดรายชื่อมาให้เราว่าประชาชนหรือผู้ที่ถูกแอบอ้างชื่อแต่ละคลินิกมีกี่ราย ซึ่งพนักงานสอบสวนก็จะเรียกแต่ละรายมาสอบปากคำเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ไปใช้บริการจริง เป็นการทำเอกสารเท็จมาประกอบกับข้อกล่าวหาว่าเป็นการฉ้อโกงอย่างไร และในส่วนของพยานหลักฐานด้านอื่นๆนั้น จะเป็นหน้าที่ของดีเอสไอที่จะรับไปติดตามตรวจสอบ” พ.ต.ท.ภิรมย์ กล่าว.