เงื่อนปมโหด “สมคิด พุ่มพวง” ที่เคยก่อเหตุ “ฆาตกรรมต่อเนื่อง 5 ศพ” จนถูกเรียกว่า “คิด เดอะริปเปอร์” ก่อนได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ทำให้มีอิสรภาพเร็วกว่ากำหนด และพ้นโทษออกมาได้เพียง 7 เดือน ก็หวนกลับมาเปิดฉาก “ก่อเหตุคดีอุกฉกรรจ์” สะเทือนขวัญซ้ำอีกครั้ง...เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2562 สภ.กระนวน จ.ขอนแก่น ตรวจสอบร่างหญิงสาวอายุ 51 ปี ในสภาพห่อด้วยผ้าห่ม ถูกพันธนาการด้วยเทปใส สายไฟ หลังเกิดเหตุมีการตามแกะรอยลงพื้นที่หาเบาะแสอย่างหนักกระทั่งรู้ตัวผู้ก่อเหตุ คือ...สมคิด พุ่มพวง อายุ 55 ปี ก่อนกลายเป็นผู้ต้องหา “คดีฆาตกรรม” เป็นรายที่หก...กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ระดมสรรพกำลังตั้งรางวัลนำจับ 5 หมื่นบาท จนรู้ที่กบดาน...นำมาสู่การจับกุมตัวได้ในระหว่างนั่งรถไฟจาก จ.สุรินทร์ กำลังเข้ากรุงเทพฯทำให้คนในสังคม...ต่างรู้สึกโล่งอก โล่งใจ คลายความกังวล ไม่ต้องหวาดผวา...และขอปรบมือให้กับการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถจับกุมคิด เดอะริปเปอร์ ได้อย่างรวดเร็ว...เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย...ก่อเหตุฆาตกรรมมาแล้ว 6 ศพสาเหตุที่ “สมคิด พุ่มพวง” ได้รับฉายา...“เดอะริปเปอร์เมืองไทย” หรือ “คิด เดอะริปเปอร์” แล้วแต่จะเรียกกันนี้มาจากพฤติกรรมนิยมพาหญิงไปหลับนอน และลงมือฆาตกรรมมีลักษณะคล้าย “แจ๊ค เดอะริปเปอร์” (Jack the Ripper) ก่อเหตุคดีฆาตกรรมในปี 1888 ด้วยการสังหารหญิงโสเภณี 5 ราย โหดเหี้ยมต่อเนื่อง ในย่านอีสต์เอนด์ของกรุงลอนดอนย้อนคดีแรก...“คิด เดอะริปเปอร์ อายุ 41 ปี” เมื่อ 30 ม.ค.2548...ก่อเหตุฆ่าหญิงสาวในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่ง จ.มุกดาหาร ถัดมาวันที่ 4 มิ.ย.2548 โผล่พื้นที่ภาคเหนือ ก่อเหตุฆ่าหญิงรายที่สอง...ในโรงแรม จ.ลำปาง และเพียง 7 วัน ปรากฏตัวในพื้นที่ภาคใต้ ก่อเหตุกับเหยื่อสาวอายุ 38 ปี ในห้องพักโรงแรม จ.ตรังหญิงสาว 3 รายนี้ เสียชีวิตต่างพื้นที่ แต่มีลักษณะถูกฆ่าคล้ายกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า...“ฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน” เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2548 ฆาตกรรมหญิงสาวรายที่สี่ ในโรงแรม จ.อุดรธานี ไล่เลี่ยกัน...ก็มีหญิงสาวตกเป็นเหยื่อรายที่ห้า ในโรงแรม จ.บุรีรัมย์ก่อนลงมือกับหญิงสาวรายที่หก ที่โรงแรม จ.ชัยภูมิ แต่ครั้งนี้ คิด เดอะริปเปอร์ พลาด! หญิงคนนี้หนี...รอดมาได้หวุดหวิด ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแกะรอยจับกุมไว้ได้ และเมื่อ 24 ส.ค.2555 ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิต ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ และพ้นโทษออกเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาแล้วก็...หวนกลับมาก่อเหตุในเขตพื้นที่ สภ.กระนวน จ.ขอนแก่น นี้มุมนักกฎหมายในเรื่องการปล่อยตัวรวดเร็วนั้น คมเพชญ จันปุ่ม หรือ “ทนายอ๊อด” ทนายความอิสระ มองว่า การก่อเหตุ 5 คดีไล่เรียงนี้ ในทุกคดีผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวน ทำให้ได้รับการลดโทษจากประหารชีวิต เป็นจำคุกตลอดชีวิตต้องเข้าใจ...หลักกระบวนการยุติธรรมในการพิจารณาโทษและการลดโทษนั้น ศาลท่านต้องเป็นผู้พิจารณาตามข้อกำหนดไว้ในกฎหมาย อาทิ รับสารภาพโดยไม่ได้จำนนต่อหลักฐาน หรือจำเลยบันดาลโทสะซึ่งเป็นไปตามการลดโทษในคำพิพากษาของศาลทว่า...การทำผิดของบุคคลหนึ่ง แม้ก่อเหตุร้ายแรงกี่ครั้ง ก็มีคำพิพากษาประหารชีวิต หรือประหารชีวิตผู้กระทำความผิดได้ครั้งเดียว หากมีการรับสารภาพ...“ศาล” อาจพิจารณาลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้เมื่อมีการลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ผู้ต้องขังต้องโทษจำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี ตาม ป.อ.ม.52...ในการลดโทษประหารชีวิต จะลดมาตราส่วนโทษ หรือลดโทษที่จะลงให้ลดดังนี้คือ...ถ้าจะลด 1 ใน 3 ให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต และถ้าลดกึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษจำคุกตั้งแต่ 25 ปีถึง 50 ปีประกอบกับ ตาม ป.อ.ม.53...ในการลดโทษจำคุกตลอดชีวิต จะเป็นการลดมาตราส่วนโทษหรือลดโทษที่จะลงให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นโทษจำคุก 50 ปี หากผู้กระทำความผิดมีการกระทำต่อบุคคลอื่นหลายคดี มีการฟ้องคดีรวมความผิด เพราะกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เช่น “คดีของสมคิด” ในการลงโทษนั้น นำ 50 ปีมารวมกับการกระทำผิดทั้ง 5 ครั้ง และลงโทษ 250 ปี ไม่ได้ แต่สามารถลงโทษได้สูงสุด 50 ปีเท่านั้นตาม ม.91...ผู้กระทำความหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด...(3) ห้าสิบปีสำหรับกรณีความผิดกระทงหนักสุด มีอัตราโทษจำคุกสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตคราวนั้น...ในคดีของ “สมคิด พุ่มพวง” มีการก่อเหตุในปี 2548 ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คือจำคุกตลอดชีวิต...ที่ต้องจำคุก 50 ปี...เมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว...“ผู้ต้องหา” เข้าสู่ “เรือนจำ” ที่เรียกว่า “นักโทษเด็ดขาด” ที่ถูกขังไว้ตามหมายจําคุกภายหลังคําพิพากษาถึงที่สุด ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์ และปฏิบัติตามข้อระเบียบกรมราชทัณฑ์ต่างๆ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560ซึ่งก็มีการพิจารณาวินิจฉัย “เลื่อนชั้น” ในประโยชน์ของผู้ต้องขัง ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 ที่นักโทษเด็ดขาดแสดงเห็นว่า...มีความประพฤติดี มีความอุตสาหะ มีความก้าวหน้าในการศึกษา และทําการงานเกิดผลดี หรือทําความชอบแก่ทางราชการเป็นพิเศษ อาจได้รับประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด อาทิ...ได้รับความสะดวกในเรือนจําตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ เลื่อนชั้น รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจํา รวมถึงลาไม่เกินเจ็ดวันในคราวหนึ่ง เมื่อมีความจําเป็นเห็นประจักษ์เกี่ยวด้วยกิจธุระสําคัญหรือกิจการในครอบครัว และลดวันต้องโทษจําคุกให้เดือนละไม่เกินห้าวันแม้ว่า “ผู้ต้องขัง” มีความเลวร้ายในสังคมเพียงใด หากตลอดเวลาอยู่ในเขตอำนาจกรมราชทัณฑ์ มีความประพฤติดี หรืออาจ “เสแสร้งสำนึกของความผิด” ที่ไม่เคยทำผิดระเบียบระหว่างเป็นผู้ต้องขัง ก็ถือว่าเข้าตามหลักเกณฑ์กำหนด ก็ต้องถูกพิจารณาในการวินิจฉัยลดวันต้องโทษจำคุกแต่ไม่ใช่ว่า...ลดโทษจำคุกเท่านั้น หากผู้ต้องขังฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งเจ้าพนักงานเรือนจํา ข้อบังคับเรือนจํา หรือระเบียบกรมราชทัณฑ์ ก็ถือว่า “กระทําผิดวินัย” มีบทลงโทษตั้งแต่ภาคทัณฑ์ งดการเลื่อนชั้นโดยมีกําหนดเวลา ลดชั้น ลดหรืองดประโยชน์และรางวัลทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือบางอย่าง เป็นต้นเมื่อพ้นโทษแล้ว...มีการกระทำความผิดซ้ำ ก็ต้องถูกดำเนินตามกระบวนการยุติธรรม ตามพยานหลักฐาน ถ้ามีการรับสารภาพ ไม่ว่าชั้นสอบสวน หรือชั้นพิจารณาคดี ที่เป็นประโยชน์ ก็มีโอกาสได้ลดโทษส่วนบทลงโทษนั้นเป็นดุลพินิจของศาลที่ท่านจะเป็นผู้พิจารณาคดี...ในการก่อเหตุซ้ำหลังพ้นโทษภายใน 5 ปี ก็มีบทเพิ่มโทษ 1 ใน 3 หากเป็นคดีใหม่ มีโทษสูงสุดประหารชีวิต ก็ไม่สามารถเพิ่มโทษนี้ได้ ครั้งนี้...คงต้องอาศัยมาตรการของกรมราชทัณฑ์ ในเรื่องการพิจารณาวินิจฉัยลดวันลงโทษจำคุกของผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์ ที่อาจเป็นภัยต่อสังคม ในส่วนของผู้ต้องหากระทำผิดซ้ำซากนี้มองว่า...ในอนาคตไม่สามารถได้รับอิสรภาพออกง่ายๆอีกต่อไปประเด็นน่าสนใจ...กรณี “ผู้ใหญ่” ออกมาระบุชี้อาการของผู้ต้องหา...“โรคจิตเภท” ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เรื่องนี้มีความสำคัญอาจถูกยกนำมาอ้างในการ “ต่อสู้คดี” ในเรื่องจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน...ตาม ป.อ.ม.65...อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ...ในการรับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้...ทั้งนั้น ก็ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วินิจฉัยและศาลมีความเห็นด้วยสุดท้ายนี้...ใครก่อกรรมอะไรไว้...ย่อมได้รับผลกรรมนั้นตอบแทน ไม่มีใครพ้นกรรมในสิ่งที่ก่อได้แน่นอน...