ตามตำนาน เมืองลับแล หรือ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เป็นเมืองแห่งการห้ามพูดโกหก ตามหลักฐานที่มีการค้นพบเชื่อว่าเมืองลับแลเป็นชุมชนเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคสุโขทัย...ด้วยภูมิประเทศเป็นป่าเขาสลับซับซ้อนเนื่องจากมีหุบเขา เหมาะที่จะปลูกผลไม้นานาชนิด อีกทั้งสมัยครั้งกว่า 100 ปี การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างอำเภอกับอำเภอเป็นไปด้วยความลำบากเพราะเส้นทางคดเคี้ยวคนไม่ชำนาญพื้นที่มักจะพลัดหลงอยู่ตลอด จึงเรียกกันว่า “เมืองลับแล” แปลว่ามองไม่เห็น!!!ทีนี้มาว่ากันถึงตำนานทุเรียนหลง-หลินลับแล โดย “หลงลับแล” เป็นผลงานของ นายลม-นางหลง อุประ ส่วน “หลินลับแล” เป็นผลงานของนายหลิน ปันลาด ทั้งสองครอบครัวอาศัยอยู่ที่ ต.แม่พูล อ.ลับแล...ทั้งสองนำเมล็ดทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองไปปลูกที่เชิงดอย แล้วกลายพันธุ์มาเป็นทุเรียนลูกเล็กเมล็ดเล็กกว่าทุเรียนทั่วไป แต่รสชาติหวานอร่อยในสามโลกต่อมาปี 2520 งานประกวดทุเรียนจัดโดยเกษตรจังหวัดปรากฏว่าทุเรียนของนายลม-นางหลง ที่ตั้งชื่อว่า “หลงลับแล” เพื่อเป็นเกียรติแก่ภรรยาได้รับรางวัลชนะเลิศ ส่วน “หลินลับแล” ของนายหลินรับรางวัลรองชนะเลิศขณะเดียวกันเกษตรจังหวัดประกาศรับรองพันธุ์ทั้ง 2 นี้ให้เป็นทุเรียนของจังหวัด ปัจจุบันนี้จังหวัดอุตรดิตถ์กลายเป็นพื้นที่ที่ปลูกทุเรียนมากจังหวัดหนึ่ง มีเนื้อที่เพาะปลูกถึง 3 หมื่นกว่าไร่ โดยจะปลูกทุกพันธุ์ดังของเมืองไทย เช่น หมอนทอง กระดุม ชะนี ฯลฯ แต่ปลูกหมอนทองมากที่สุดขณะที่ “หลงลับแล” ปลูกราว 2,400 ไร่ และหลินลับแลมีปลูกแค่400 ไร่เท่านั้น ทำให้หลงลับแลราคาตกราวๆ กก.ละ 300-350 บาท ส่วนหลินลับแลหายากกว่าเพราะปลูกน้อย ราคา กก.ละ 450-500 บาทนอกจากทุเรียน “หลง-หลินลับแล” จะเป็นทุเรียน 2 สายพันธุ์ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของกรมส่งเสริมการเกษตรที่จัดประกวดทุเรียนพื้นเมืองแล้ว...ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังได้ประกาศขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI ทุเรียนหลง-หลินลับแลอุตรดิตถ์ด้วย...“หลง-หลินลับแล” นับเป็นผลไม้ท้องถิ่นที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดได้เป็นอย่างดี!!!ประสิทธิ์ ผึ้งสุข