ครม.รื้อกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น นำไปสู่การปฏิรูปตำรวจ เห็นชอบแก้ไข ป.วิอาญาใน 10 หลักการสำคัญ ห้ามนำผู้ต้องหามานั่งแถลงข่าว วางโทษผู้หลบหนีระหว่างปล่อยตัวชั่วคราว ให้ พงส.-อัยการร่วมสอบในคดีบางประเภท บันทึกภาพ-เสียงระหว่างสอบปากคำ กันผู้ต้องหาเป็นพยานต้องขออัยการ โจทก์ฟ้องเท็จกลั่นแกล้งจำเลย โดนดำเนินคดีอาญาหลังจากที่สังคมจับตาการปฏิรูปตำรวจเป็นกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 25 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ... เป็นกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจที่ประชาชนสอบถามความคืบหน้ามาตลอด สาระสำคัญที่น่าสนใจ ได้แก่1.ห้ามนำผู้ถูกจับ หรือผู้ต้องหาออกแถลงข่าว หรือจัดให้บุคคลดังกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเพื่อเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์2.ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีในระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวมิให้นับระยะเวลาที่หลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความและกำหนดโทษของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หลบหนีในระหว่างปล่อยตัวชั่วคราว3.กำหนดให้สามารถร้องทุกข์นอกเขตอำนาจของพนักงานสอบสวนที่รับคำร้องทุกข์ได้และให้พนักงานสอบสวนส่งคำร้องทุกข์ดังกล่าวไปยังพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจโดยเร็ว4.กำหนดให้มีการร่วมสอบสวนระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในคดีบางประเภทนายพุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า 5.ในคดีที่พนักงานสอบสวนไม่รับคำร้องทุกข์หรือกล่าวโทษเมื่อผู้เสียหายหรือผู้กล่าวหาร้องขอ พนักงานอัยการที่มีเขตอำนาจในการสอบสวนคดีอาจแจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่หรือรับทำการสอบสวนเองโดยอาจแจ้งให้พนักงานสอบสวนเข้าร่วมทำการสอบสวนคดีนั้นได้6.กำหนดให้พนักงานสอบสวนจัดให้มีการบันทึกภาพและเสียงซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้ในการถามคำให้การหรือสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีที่มีข้อหาความผิดซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น7. กำหนดให้พนักงานสอบสวนอาจเสนอความเห็นต่อพนักงานอัยการในการกันผู้ต้องหาคนหนึ่งคนใดไว้เป็นพยานหรือในกรณีที่พนักงานอัยการเห็นสมควรเพื่อเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลการสอบสวน และเพื่อให้มีพยานหลักฐานนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ร่วมกระทำความผิดคนอื่นที่ได้กระทำความผิดที่มีอัตราโทษสูงกว่าผู้บงการหรือตัวการสำคัญนายพุทธิพงษ์กล่าวว่า 8.ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการในกรณีอัตราโทษอย่างสูงเกินกว่าหกเดือนแต่ไม่ถึง สิบปีหรือปรับเกินกว่าห้าร้อยบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ให้ส่งสำนวนไม่น้อยกว่าสิบสองวันก่อนวันครบกำหนดขังผู้ต้องหาครั้งสุดท้าย และในกรณีอัตราโทษอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้ส่งสำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่วันก่อนครบกำหนดขังผู้ต้องหาครั้งสุดท้ายเพื่อให้สามารถดำเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น9.ให้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาและกำหนดให้ในกรณีปรากฏพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในสำนวนหรือผู้มีส่วนได้เสียร้องโดยมีพยานหลักฐานว่า มีบุคคลอื่นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดในสำนวนใด ให้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนบุคคลนั้นซึ่งปรากฏตามสำนวนว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเป็นผู้ต้องหาเพิ่มเติมในสำนวนนั้นได้ และ10.กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการฟ้องและดำเนินคดีอาญาในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ กรณีใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ