ได้ข่าวมาว่า...มีนักธุรกิจชาวไทยเจอเรื่องเล่าสุดหลอนด้วยวัดไทยร้างในเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ที่ขาดการดูแลมากว่า 100 ปี จนชาวบ้านละแวกใกล้เคียงเล่าลือกันถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ลี้ลับชวนขนหัวลุก เมื่อครั้งหนึ่งมีโจรขโมยแอบเข้าไปลักแกะประตูหน้าต่าง...ก็ต้องมีอันเป็นไปวัดที่ว่านี้ชื่อว่า “วัดป่ารวก (ป่าฮวก)” ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพูสี ตรงข้ามกับพระราชวังหลวงพระบาง ประวัติการสร้างวัดกล่าวไว้เป็น 2 ทางคือ ทางหนึ่งกล่าวว่า ในสมัยรัชกาลของพระเจ้าจันทรเทพประภาคุณฯ เมื่อ พ.ศ.2394 แต่เอกสารอีกฉบับหนึ่งกล่าวว่า...สร้างขึ้นโดยพระยาสีมหานาม เมื่อ พ.ศ.2404แต่ทั้งสองรัชกาลนี้สร้างขึ้นตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สรายุทธ ทองมาก นักธุรกิจค้าขายอุปกรณ์เสริมสวยในจังหวัดเลย เล่าถึงการมาทำบุญที่วัดป่ารวก ที่เมืองหลวงพระบางครั้งนี้ว่า... “เกิดจากการที่ลูกค้าชาวลาวมาเล่าให้ฟังว่า มีวัดไทยที่ถูกทิ้งร้างในป่าไผ่ อยู่บริเวณทางขึ้นเขาพูสี ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังฯ มีเพียงกระดาษเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า วัดป่าฮวก มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ.1860 เป็นภาพอันงดงามยอดเยี่ยมที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในเมืองหลวงพระบางภายในโบสถ์ไม่มีใครอยู่เลย สิ่งของต่างๆ ตั้งระเกะระกะ กลางโบสถ์มีพระพุทธรูป 3 องค์ ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี พุทธลักษณะงดงามมาก แต่ขาดการดูแล แถมยังมีข้อความที่ฝากถึงผู้ที่มาเยือนเขียนเป็นลายมือของพี่น้องชาวลาวว่า...“วัดป่าฮวก สร้างโดยรัชกาลที่ 4 ของไทย เชิญร่วมบริจาค เพื่อซ่อมแซมวัด ขอบคุณ”ยังมีอีกเรื่องราวเล่าขานจากที่ลูกค้าชาวลาวเล่าต่อๆกันมาว่า มีคนลาวที่ศรัทธาและต้องการบูรณะวัดแห่งนี้ให้กลับมาดีดังเดิม โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่ยังคงสภาพที่สามารถกอบกู้ได้ ซึ่งคนลาวเองก็แปลกใจมากว่าวัดแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานแต่ประตูหน้าต่างไม่มีสูญหายแต่อย่างไร“เล่ากันว่า...เคยมีคนแอบเข้ามางัดเอาประตูหน้าต่างโบสถ์แห่งนี้ แต่ก็เหมือนมีสิ่งมองไม่เห็นมาปกป้องเอาไว้ ทำเอาคนที่คิดเข้ามาเสียสติ ของที่เอาไปก็ต้องรีบเอามาคืนกันเลยทีเดียว แต่ถ้าใครมาดีขอเข้าไปหลบแดดหลบฝนก็จะได้รับความร่มเย็น” คำบอกเล่านี้จึงเป็นเหตุให้ต้องเดินทางไปเห็นกับตาตัวเองแต่ก่อนจะไป สรายุทธ ทองมาก ก็ได้ค้นหาประวัติความเป็นมาในเว็บไซต์ก่อน ได้ความว่า “วัดป่าฮวก” หรือ “วัดป่ารวก” มีบทความของผู้ใช้ชื่อว่า “bangsai” เขียนไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2011...ตอนหนึ่งว่า ได้ไปพบเห็นโบสถ์หลังนี้ด้วยความบังเอิญที่ไม่ได้เดินทางขึ้นเขาพูสี...และได้พบกับผู้ดูแลโบสถ์หลังนี้คือ ท่านสมบุน บุนทะวง เป็นชาวหลวงพระบางผู้ได้รับพระราชทานทุนหลวงจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน ให้ไปเรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่องการอนุรักษ์งานโบราณโดยตรง เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านสมบุนได้กลับมารับราชการที่กรมศิลปากรหลวงพระบาง ซึ่งทั้งกรมมีเจ้าหน้าที่ด้านอนุรักษ์เพียง 2 คน ไม่มีงบประมาณจากรัฐทำการอนุรักษ์ ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากต่างประเทศ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นปัจจุบันท่านสมบุนได้ใช้ฝีมือตัวเองผลิตงานเขียนภาพขายแล้วเอารายได้มาทำกองทุนเพื่ออนุรักษ์โบสถ์หลังนี้ต่อไป โดยเฉพาะโบสถ์หลังนี้ ท่านสมบุนจะมานั่งที่โบสถ์นี้หลังจากเลิกงานราชการแล้ว และวันหยุดเท่านั้น วันเวลาอื่นๆโบสถ์จึงไม่เปิด และท่านเท่านั้นที่ถือกุญแจเปิดแต่เพียงผู้เดียวท่านสมบุนเล่าว่า แต่ก่อนสมัยปฏิวัติที่นี่ใช้เก็บ “ผูกคัมภีร์” ต่างๆของโบราณเต็มไปหมด เมื่อปลดปล่อยแล้วก็ย้ายเอาไปไว้ในพระราชวัง ที่นี่ก็ทิ้งร้างไปเลย... เมื่อได้ทราบถึงความตั้งใจของพี่น้องชาวลาวที่ใช้ความสามารถของตัวเองในการหาทุน เพื่อบูรณะโบสถ์แห่งนี้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องเดินทางไปเห็นกับตาตนเอง...ภาพที่ปรากฏตรงหน้า “โบสถ์ไทย”...ในเมืองมรดกโลก ยังคงมีมนต์สะกด ไม่ว่าจะเป็นความงดงามของพระพุทธรูป ภาพฝาผนัง ประตูหน้าต่างยังคงสมบูรณ์ จึงตั้งใจว่าจะเป็นกระบอกเสียงให้คนไทยที่มีความตั้งใจไปเที่ยวได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมร่วมทำบุญวัดป่าฮวกสร้างเคียงคู่กับพระธาตุพูสี ขนานถนนหน้าพระราชวัง หันหน้าไปทางทิศเหนือ ดังนั้นหากไปยืนหน้าโบสถ์มองไปทางทิศเหนือ ขวามือก็เป็นภูเขา มีร่องรอยการสร้างกุฏิพระ เดิมเป็น “ป่าไผ่รวก” หรือ “ไม้ฮวก” อันเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ รวมพลังทุกศรัทธาจะมากจะน้อยย่อมสำเร็จได้สักวันด้วยใจตั้งหวัง “ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่ออย่างไรก็โปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.รัก-ยม