ปรากฏการณ์นี้มิใช่เพียงแค่ความเชื่อทางศาสนา หากแต่เป็นข้อมูลทาง biology of consciousness ที่ยังรอการพิสูจน์ในยุคที่วิทยาศาสตร์เริ่มยอมรับว่าความจริงอาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่มิติทางกายภาพที่จับต้องมองเห็นและวัดค่าได้เท่านั้นมีการศึกษาวิจัยซึ่งน่าสนใจมากของ ศาสตราจารย์ Ian Stevenson จาก University of Virginia ซึ่งรวบรวมเคสเด็กที่ระลึกชาติได้มากกว่า 2,500 รายจากหลายประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา ไทย พม่า และเลบานอน พบว่าเด็กจำนวนมากมีพฤติกรรม บุคลิกภาพ หรือรอยแผลเป็นตรงกับบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งเด็กอ้างว่าเคยเป็นตนเองในชาติที่แล้ว งานวิจัยนี้เป็นแบบ case documen tation โดยสัมภาษณ์ทั้ง 2 ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเด็กและคนที่ตาย แยกข้อมูลก่อนที่จะมีการพบกัน และตรวจสอบความถูกต้อง เช่น ชื่อบุคคล บ้านเกิด เหตุการณ์เฉพาะ หรือสถานที่ ซึ่งบางกรณีมีความถูกต้องมากกว่า 80-90%Dr.Jim B. Tucker นำงานนี้มาทำต่อโดยใช้หลักจิตเวช ศาสตร์เด็กและประสาทวิทยาเข้ามาร่วมวิเคราะห์ พบว่าเด็กเหล่านี้มักเริ่มพูดถึงการระลึกชาติเมื่ออายุ 2-5 ปี และความทรงจำนั้นจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อโตขึ้นคล้ายกับรูปแบบของ childhood amnesia ที่พบใน neurodeve lopmental memory process นักวิทยา ศาสตร์ของไทยในอดีตที่สนใจเรื่องนี้จริงจังก็คือ ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล แต่พออาจารย์เสียชีวิตไปแล้วก็ไม่มีใครสานงานนี้ต่อ ในทาง neuroscience กลไกของการระลึกชาติถูกมองว่าเป็น ความจำชนิดพิเศษที่อาจเกิดจาก false memory cryptomnesia หรือการประมวลผลข้อมูลจากสิ่งเร้าที่ไม่รู้ตัว (subliminal encoding) อย่างไรก็ตาม กลไกเหล่านี้มักไม่สามารถอธิบายกรณีที่มีข้อมูลถูกต้องเฉพาะตัว (specific verified details) ได้ครบถ้วนว่าทำไมมันเป๊ะขนาดนี้ อีกสมมติฐานหนึ่งคือการที่ สมองสามารถเข้าถึงข้อมูลจากสภาพแวดล้อมที่ถูกบันทึกไว้ในรูปของ quantum information field หรือ non–local consciousness ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีของ Roger Penrose และ Stuart Hameroff ว่าจิตสำนึกอาจเกิดจากการประสานที่สอดคล้องกับการสั่นระดับควอนตัมใน microtubules ภายในเซลล์ประสาท (Orch-OR theory)ซึ่งหากจิตมีลักษณะของ quantum field จริง การตายของสมองอาจไม่ทำให้ข้อมูลทางจิตสูญสิ้น แต่เพียงเปลี่ยนรูปแบบของการดำรงอยู่ไปในระดับอื่น ซึ่งอาจถูกเชื่อมต่อได้อีกในภายหลัง ในบางกรณีนักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าความทรงจำที่คล้าย การระลึกชาติอาจมีพื้นฐานจาก epigenetic memory หรือการส่งต่อข้อมูลโดยไม่ผ่านลำดับยีน (non-genetic inheritance) เช่น การแสดงออกของยีนที่ได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ชีวิตของ generation ก่อนงานวิจัยในสัตว์ทดลอง เช่น หนูที่ถูกฝึกให้กลัวกลิ่น acetophenone สามารถส่งต่อความกลัวนี้ไปยังรุ่นลูกหลานผ่าน methylation ของยีน Olfr151 แสดงให้เห็นว่าข้อมูลพฤติกรรมสามารถส่งผ่านได้โดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้โดยตรงในมนุษย์ กลไกเช่นนี้อาจทำให้เกิดความโน้มเอียงทางอารมณ์หรือความฝันที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ในอดีตของบรรพบุรุษ โดยผู้มีความไวพิเศษทางจิต (heightened suggestibility or temporal lobe sensitivity) อาจตีความประสบการณ์เหล่านั้นว่าเป็นความทรงจำของชาติที่แล้วอีกสมมติฐานที่ใกล้เคียงและสอดคล้องกันคือ ปรากฏการณ์ near–death experience (NDE) ซึ่งผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นหรือสมองขาดออกซิเจนระยะสั้นกลับมามีความทรงจำของประสบการณ์ที่อยู่นอกกาย (out-of-body experience) และรู้สึกถึงสภาวะของการดำรงอยู่ (ดังที่ผู้เสียชีวิตแล้วกลับมาฟื้นได้เล่าว่าเห็นตัวเองออกนอกร่างมายืนมองร่างไร้ชีวิตของตน) แม้สมองจะอยู่ในภาวะ electrical silence งานของ Sam Parnia และ AWARE study มีการบันทึก EEG ในผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะ cardiac arrest ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่บุคคลรายงานว่าเห็นหรือรู้สึกในมิติอื่น นำไปสู่สมมติฐานว่าจิตสำนึกอาจไม่ผูกติดกับสมองโดยสิ้นเชิง ดร.นพ.ชลธวัช สุวรรณ ปิยะศิริ.หมอดื้อคลิกอ่านคอลัมน์ "สุขภาพหรรษา" เพิ่มเติม