เรื่องราวในวงการพระระยะนี้ ก็เปลี่ยนเรื่องคุยจาก พระระยำ–สีกานรกจังไร เพราะมี สงครามไทย–กัมพูชา มากลบ จึงได้เห็นน้ำใจคนไทยที่ระดมส่งความช่วยเหลือและกำลังใจไปให้เจ้าหน้าที่ ที่เสี่ยงอันตรายส่วนคำถามที่ทุกคน อยากรู้ความจริง คือ ทำไม อยู่ๆ “ฮุน เซน” ถึงโจมตีไทย และจะเลิกรบกันไหม ซึ่งคนที่เกิดทันยุค ๖๐ กว่าปีก่อน เล่าว่า ไม่รู้กัมพูชาเกลียดอะไรไทยนัก เหมือนแค้นฝังหุ่น เลยตบจูบกันมา ตั้งแต่สมัย เจ้าฟ้าสีหนุ ก็ตัดความสัมพันธ์กับไทยหลายครั้ง โดยละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้กับสหประชาชาติหน้าตาเฉย อ้างเหตุผลต่างๆกล่าวหาไทยในเรื่องไม่จริงว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดูถูกกัมพูชา จะเป็นคอมมิวนิสต์ ฯลฯ โดย เจ้าฟ้าสีหนุ สั่งสื่อเขียนด่าไทยกระจาย พอถูก ยูเอ็นเหล่ ก็ตกลงโอเค หยุดด่า แต่แป๊บเดียวก็เอาอีกเข้าสนามพระของเราต่อ ดูองค์แรก พระสมเด็จเกศไชโย พิมพ์ ๗ ชั้น นิยม A วัดไชโยวรวิหาร อ.ไชโย จ.อ่างทอง ที่พบจากการพังทลายขององค์พระประธาน ที่ สมเด็จโตฯ สร้างแบบก่ออิฐถือปูน กลางวัด ราวปี ๒๔๑๐-๑๕ และสร้าง พระพิมพ์ บรรจุด้วย เนื้อผงพุทธคุณผสมปูนเปลือกหอย รูปทรงสี่เหลี่ยม ตัดขอบซ้อน “กรอบกระจก” ด้านหน้าเป็นองค์พระพุทธปางสมาธิ พุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ (อกร่อง หูบายศรี) พระสมเด็จเกศไชโย พิมพ์ใหญ่ ๗ ชั้น นิยม A วัดไชโยฯ ของ “เสี่ยกบ Kerry” ฐิการ ศุภวิรัชบัญชา.ตอนเจดีย์พังทลายพระในกรุกระจัดกระจาย วัดจึงนำมาแยกเป็นพิมพ์นิยม มาตรฐาน๓ พิมพ์องค์นี้ของ “เสี่ยกบ Kerry” ฐิการ ศุภวิรัชบัญชา เป็นพิมพ์ ๗ ชั้น นิยม A ที่นิยมสูงสุด และสภาพยังงามแชมป์ ระดับ “องค์ครู” มีฟอร์มทรงเอกลักษณ์ ขอบพิมพ์แบบกรอบกระจก พิมพ์พระชัดลึก “สุดพิมพ์” เส้นศิลป์ติดเต็ม เนื้อพระแห้งสนิท อัดแน่นด้วยมวลสารครบสูตร ที่เรียกว่า “เนื้อกระดูก”องค์ที่สอง ดู พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์เล็ก (พัดใบลาน) กรุลานทุ่งเศรษฐี จ.กำแพงเพชร พระพิมพ์เนื้อดินเผา ยอดนิยมอันดับ ๑ ของลานทุ่งเศรษฐี ที่มีกรุพระมากแห่ง คือ วัดอาวาสใหญ่ วัดอาวาสน้อย วัดพิกุล วัดฤๅษี วัดช้างล้อม วัดพระนอน วัดพระสี่อิริยาบถ วัดกะโลทัย วัดพระแก้ว และวัดบรมธาตุ ที่ค้นพบพระเครื่องพร้อมใบลานเงิน-ทอง บอกประวัติการสร้าง (ย่อ) ไว้ พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์เล็ก (พัดใบลาน) กรุลานทุ่งเศรษฐี ของพรรค คูวิบูลย์ศิลป์.ว่า “เมืองพิษณุโลก กำแพงเพชร เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ มีฤๅษี ๑๑ ตน ร่วมสร้างพระพิมพ์ด้วยเนื้อว่าน โดยมีฤๅษีตาไฟฤๅษีตาวัว เป็นประธาน มอบเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ประดิษฐ์ไว้ในถ้ำน้อย-ใหญ่ เพื่อเป็นอานุภาพแก่มนุษย์ สมณ ชีพราหมณ์ ไปถึง ๕,๐๐๐ ปี ผู้ใดได้พบให้ถวายพระพร แล้วเอาไปใช้อธิษฐานตามปรารถนา ระลึกถึงคุณพระฤๅษีผู้สร้างเถิด “มีกูไม่จน”องค์นี้ของ เสี่ยพรรค คูวิบูลย์ศิลป์ และเป็นองค์ดาราในตำราพระมาตรฐานจนถึงปัจจุบัน พระมเหศวร เนื้อชินเงิน พิมพ์ใหญ่ (ผมหวี) กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ของ พิเชษฐ์ ฉิมวัย (โต้ง สุพรรณ)ถัดไปดู พระมเหศวร เนื้อชินเงิน พิมพ์ใหญ่ (ผมหวี) กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ที่มีเอกลักษณ์ พระสองหน้า นั่งสวน กัน ตอนแรกเรียก “พระสวน” ต่อมาเรียก “พระมเหศวร” เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ โจรชื่อมเหศวร ออกอาละวาดปล้นแถบชัยนาท อุทัยธานี สุพรรณบุรี แต่รอดการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ เพราะมี “พระสวน” บูชาติดตัว จึง อยู่ยง คงกระพัน ทำให้คนเรียกพระนี้ว่า พระมเหศวร ซึ่งไม่น่าใช่การยกย่องโจรที่ไม่ควรยกย่อง แต่เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึง พระที่โจรชื่อ มเหศวร เคยใช้พระมีมาก แยกได้ ๒๔ แบบ จัดพิมพ์เป็นหมวด ๕ พิมพ์ ๑.พิมพ์ใหญ่ ๒.พิมพ์กลาง ๓.พิมพ์เล็ก ๔.พิมพ์สวนเดี่ยว ๕.พิมพ์สวนตรง เนื้อพระส่วนใหญ่เป็น ชินเงิน มี ชินเขียว บ้าง องค์นี้ของ เสี่ยพิเชษฐ์ ฉิมวัย (โต้ง สุพรรณ) เป็นพระพิมพ์ใหญ่ นิยม “ผมหวี” ที่พบน้อยมากๆ หายากสุดๆ--สภาพงามสมบูรณ์เดิมๆ แบบนี้ที่มีคนตามตื๊อเพียบ แต่เจ้าของยังเฉย “ขายแล้วจะบอก” พระบาง เนื้อเขียวหินครก กรุวัดดอนแก้ว ของตะวัน พระสกุลลำพูน.ต่อไปเป็น พระบาง เนื้อเขียวหินครก กรุวัดดอนแก้ว อ.เมือง จ.ลำพูน พบในกรุพระวัดดอนแก้วเป็นหลัก และร่วมกรุพระอื่นๆ ในลำพูน เป็นพระพิมพ์เนื้อดินเผา ด้านหน้าเป็นองค์พระนั่งปางมารวิชัยเหนือฐานบัวเม็ดในซุ้มปรกโพธิ์ พุทธศิลป์สมัยหริภุญไชย ด้านหลังอูมเรียบ เนื้อพระเป็นดินเผา แยกสีได้เป็นน้ำตาล เหลือง ขาว ดำ เขียว--องค์นี้ ของ เสี่ยตะวัน พระสกุลลำพูน เป็นสีเขียวหินครก ยอดนิยม สมบูรณ์ เดิมๆ--ตาจมูกปากชัดเจนแบบนี้ ราคาหลักแสนกลางอีกองค์เป็น พระพิมพ์ยืนวันทาเสมา วัด (พลับ) ราช สิทธาราม กรุงเทพฯ ของ สมเด็จพระญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) พระวิปัสสนาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้างไว้ตอน ร.๒ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระญาณสังวร ครองเจ้าอาวาสวัดราชสิท ธาราม พระพิมพ์ยืนวันทาเสมา วัด (พลับ) ราชสิทธาราม ของก้อง พระสมเด็จ.เป็นพระพิมพ์ เนื้อผงพุทธคุณ ทรงกลม (เม็ดบัว) เป็นองค์พระนั่งปางสมาธิ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ เรียบง่าย หลังเรียบ และนำบรรจุในองค์พระเจดีย์ไว้ตอนกรุแตกนำพระมาแยกพิมพ์ เป็น ๑.พิมพ์ตุ๊กตาใหญ่ กลาง เล็ก ๒.พิมพ์สมาธิใหญ่ เล็ก ๓.พิมพ์สมาธิเข่ากว้าง ๔.พระพิมพ์ยืนวันทาเสมา ๕.พิมพ์พระปิดตาองค์นี้ของ เสี่ยก้อง พระสมเด็จ เป็นพระสมบูรณ์พองาม ผิวมีรอยใช้สัมผัส และหายากองค์สุดท้ายเป็น พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์เล็ก (หมวกแก๊ป) หลวงปู่จัน วัดใหม่สุวรรณ (โมลี ) นนทบุรี พระปิดตาแร่บางไผ่ พิมพ์เล็ก (หมวกแก๊ป) หลวงปู่จัน วัดโมลี ของทศพล ไหลสงวนนาม.ท่านเป็นพระธุดงค์มาจากเขมร มีอาคมเข้มขลัง จนร่ำลือว่าล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ จึงมีสายมูไปขอน้ำมนต์ สักยันต์ อาบน้ำแร่ แช่น้ำว่าน ไม่ขาดสายท่านได้ชื่อเป็นปรมาจารย์สร้าง พระปิดตา ขึ้นรูปยันต์ด้วยเนื้อโลหะ จากแร่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านค้นพบสายแร่ในคลองบางไผ่ และบางใหญ่ใน ต.บางคูรัด นนทบุรี ที่นำพาให้พบกับ หลวงพ่อทับ วัดทอง และได้แลกเปลี่ยนวิชากันลักษณะเป็นองค์พระปิดตา เนื้อโลหะ (เส้นเสี้ยน) ขึ้นรูปยันต์ ลอยองค์ ด้านหน้าเป็นอักขระตัว “นะ” ขมวดที่หน้าอก ด้านหลังเป็นยันต์เฑาะว์ กับหัวใจธาตุ ๔ นะ มะ พะ ทะ มีพิมพ์มาตรฐาน คือ หมวกแก๊ป เศียรตัด เศียรโต พิมพ์ทองหยอด พิมพ์มือไม่โยงก้น--องค์นี้ของ เสี่ยทศพล ไหลสงวนนาม เป็นพระพิมพ์นิยมหายาก โดยเฉพาะสภาพเดิมๆ สวยแชมป์แบบนี้ ราคาหลักล้านมาถึง เรื่องปิดท้าย สไตล์สนามพระวิภาวดี ซึ่งทุกคนกำลังกังวลผลกระทบจากสงคราม โดยเฉพาะแถวชายแดนที่มีการยิงถล่มกัน ชาวบ้านต้องไปอยู่ศูนย์อพยพ พ่อค้าแม่ค้าต้องหยุดกิจการยกเว้น นายสนิท เจ้าของแผงพระในสุรินทร์ ยังเปิดร้านทุกวัน นักข่าวก็ไปถามว่า ไม่กลัวหรือ แกก็ตอบว่า กลัวอยู่ แต่ยังอุ่นใจเพราะว่ามีพระเยอะ หลายวัด หลวงพ่อดังๆ ทั้งน้านน และเป็นพระแท้ จึงเชื่อว่ามีอานุภาพคุ้มครองให้แคล้วคลาด เลยไม่ค่อยกลัวสงคราม แต่กลัวไม่มีเงินใช้มากกว่า ว่าแล้วก็ฝากนักข่าวช่วยโฆษณาร้านด้วยเจ้าค่ะ อามิตตพุทธ.สีกาอ่างคลิกอ่านคอลัมน์ "สนามพระ" เพิ่มเติม