“สาคูเปียก” เมนูขนมไทยโบราณ ที่มีส่วนประกอบหลักคือ เม็ดสาคู น้ำกะทิ น้ำตาลทรายและเครื่องเครา เช่น ข้าวโพด มะพร้าว ถั่วดำ ลำไย เผือก เมื่อทานแล้วจะรู้สึกถึงความหนึบหนับของเม็ดสาคู และรสหวานมัน กลิ่นหอมจากน้ำกะทิ ด้วยความที่ขนมสาคูเปียกมีทั้งเม็ดสาคูที่ทำมาจากแป้ง และน้ำกะทิ หากขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบและการผลิตไม่สะอาด ไม่ถูกสุขอนามัย เมื่อปรุงสุกแล้วเก็บรักษาไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้มีเชื้อก่อโรค เช่น เชื้อแบซิลลัส ซีเรียส ปนเปื้อนได้เพราะเชื้อชนิดนี้เป็นแบคทีเรียที่พบได้ในดิน และมักพบปนเปื้อนในอาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว พาสต้า ขนมไทย ผักและเนื้อสัตว์ปรุงสุกที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธีหากเราทานอาหารที่มีเชื้อ แบซิลลัส ซีเรียส ปนเปื้อนจำนวนมาก จะเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ ทำให้มีอาการท้องเสียและอาเจียนโดยทั่วไปอาการจะหายเองได้ใน 2-3 วัน แต่ผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดและเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน หลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการในการตรวจวิเคราะห์ของอาหารด้านจุลินทรีย์ที่ทําให้เกิดโรค กำหนดให้ขนมหวานหรือขนมไทยพบเชื้อ แบซิลลัส ซีเรียส ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 100 ใน 1 กรัม (CFU/ g)สถาบันอาหารเก็บตัวอย่างสาคูเปียกข้าวโพด สาคูเปียกมะพร้าวอ่อน สาคูเปียกถั่วดำจำนวน 5 ตัวอย่างจาก 5 ร้านค้า ที่วางขายในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์เชื้อก่อโรค แบซิลลัส ซีเรียส ปนเปื้อน ผลปรากฏว่า พบเชื้อ แบซิลลัส ซีเรียส ปนเปื้อนถึง 4 ตัวอย่าง และปริมาณที่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งหมดเห็นผลวิเคราะห์อย่างนี้แล้ว ควรระวังให้มาก เลือกซื้อสาคูเปียกจากร้านที่มั่นใจและไว้ใจได้เรื่องความสะอาด และการรักษาสุขลักษณะของผู้ผลิต ที่สำคัญควรซื้อจากร้านที่ทำสดใหม่ขายวันต่อวัน หากซื้อมาแล้วทานไม่หมดควรเก็บในตู้เย็นทันที หรือหากวางไว้ในอุณหภูมิห้องนานกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป ควรอุ่นให้ร้อนอีกครั้งแล้วจึงนำไปเก็บในตู้เย็น แต่หากเผลอวางไว้นานเกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ก็ไม่ควรเก็บใส่ตู้เย็นและไม่ควรทาน เพื่อความปลอดภัยและสบายท้อง. ไทยรัฐ+สถาบันอาหารโครงการอาหารปลอดภัยคลิกอ่านคอลัมน์ “มันมากับอาหาร” เพิ่มเติม