“นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่ได้บวชเรียน ศึกษาพุทธประวัติ สวดมนต์ ทำวัตรเช้าเย็น ถือศีล สะสมบุญบารมี ณ ดินแดนพุทธภูมิ” นี่คือความรู้สึกอิ่มใจของ “หมอจ๊วด-พล.อ.ท.นพ.อิทธพร คณะเจริญ” เลขาธิการแพทยสภา หนึ่งในผู้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท ตามโครงการอุปสมบทพระภิกษุ ณ ดินแดนพุทธภูมิ ประเทศอินเดีย น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลแด่ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” จัดโดยมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม รุ่น 5 ระหว่างวันที่ 4-15 พฤศจิกายน 2566 ณ ประเทศอินเดีย-เนปาล ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ถามว่าทำไมมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม ภายใต้การนำของ “ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” จะต้องเดินทางไปไกลถึงประเทศอินเดีย เพื่ออุปสมบทพระภิกษุ โดยดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นรุ่นที่ 5 และปีนี้มีผู้นำองค์กรจากหลากวงการเข้าร่วมอุปสมบทมากถึง 78 คน ทั้งๆที่เมืองไทยของเราก็มีวัดหลายหมื่นวัดกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ “ยอดเขาคิชกูฏ” สถานที่ประทับพรรษาแรกของพระพุทธเจ้า “ดงคสิริ” เมืองพุทธคยา รัฐพิหาร สถานที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เพื่อหาวิธีหลุดพ้น“การบวชที่ประเทศไทยนั้นดี แต่การไปบวชที่ 4 สังเวชนียสถาน ในดินแดนพุทธภูมิ ทำให้ได้ความรู้สึกที่เกิดได้ยากแก่คนทั่วไป เป็นการแสวงหาความจริงตามรอยบาทพระศาสดา ทำให้เราได้เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง และคำสอนของพระองค์ยังทันสมัยเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถนำมาปฏิบัติตามได้จนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญการบวชในประเทศไทยอาจทำให้ตัดขาดทางโลกได้ยาก แต่เมื่อเดินทางไปบวชที่ดินแดนพุทธภูมิก็จะไม่มีคนตามมาฉลองศรัทธา เวลาส่วนใหญ่มุ่งอยู่ในการแสวงบุญ, ไม่มีภาระทางบ้าน, ไม่มีใครมารบกวน การบวชที่นี่เป็นเหมือนอินเทนซีฟคอร์ส แม้จะเป็นการบวชเพียง 11 วัน แต่ก็เชื่อมั่นว่าน่าจะได้อะไรเท่ากับการบวชทั้งพรรษาในประเทศไทย เพราะผู้บวชสามารถใช้เวลาเต็มที่ในการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า จะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟังธรรมและปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะระหว่างนั่งรถเดินทางไปยังสังเวชนียสถานต่างๆ ซึ่งใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมง ก็จะได้ฟังธรรมและประวัติของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มอิ่มทั้งหลับทั้งตื่น อีกเหตุผลที่เลือกบวชที่วัดไทยพุทธคยา 935 สาธารณรัฐอินเดีย เพราะไม่เคยเห็นที่ใดจัดการอุปสมบทได้เต็มรูปแบบ มีทั้งความเคร่งครัด, ประณีตงดงาม และศักดิ์สิทธิ์เท่ากับวัดไทยพุทธคยา ภายใต้การนำของเจ้าอาวาส “พระธรรมโพธิวงศ์” หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล”...“ดร.บวรศักดิ์” ให้ความกระจ่าง “ธัมเมกขสถูป” สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาแล้วทำไมการสร้างคนให้มีความรู้ทางโลกคู่ความรู้ทางธรรมจึงสำคัญกว่าการสร้างวัด ได้รับคำตอบจาก “ดร.บวรศักดิ์” ว่า “ความสุขไม่ต้องลงทุน ความดีมันทำไม่ยาก แค่เสียสละวันหนึ่งไม่เกินชั่วโมง ก็สามารถทำให้เราเป็นคนดีได้ ของดีอยู่ใกล้ตัว วันนี้เขาสอนสมาธิเก็บเงินแพงๆในยุโรป เพราะคนอยากมีความสุข แต่ของเราสอนให้ฟรีๆยังไม่ค่อยมีใครอยากทำ เชื่อผมอย่าไปฝึกสมาธิตอนมีทุกข์ มันจะได้สมาธิช้ามาก ให้ใช้ชีวิตธรรมดาและฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ สะสมบุญไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลามีทุกข์ ความทุกข์จะน้อยลงไม่ท่วมท้น สำหรับผมการสร้างคนให้มีความรู้ทางโลกคู่ความรู้ทางธรรมสำคัญกว่าการสร้างวัด” ก่อนชาวคณะจะออกเดินทางไปยังดินแดนพุทธภูมิ “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก” ได้ประทานผ้าไตรแก่ผู้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท พร้อมประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า “ก่อนจะเข้าสู่ความเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย ผู้ขอบวชต้องรู้จักซาบซึ้ง และพร้อมถึงพระไตรสรณคมน์ไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นสรณะนำทางอันสูงสุดของชีวิต กระทั่งตระหนักแน่ถึงคุณประโยชน์ของการออกจากโลกียวิสัย ที่เรียกว่าการบำเพ็ญ ‘เนกขัมมะ’ มุ่งไปสู่การศึกษาขัดเกลาทางพระพุทธศาสนา อันเป็นความดีอย่างแท้จริง การที่ท่านจะมีโอกาสได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน และพบเห็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ย่อมนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจ เกิดแรงบันดาลใจในการประกอบคุณงามความดี ด้วยศรัทธาอันมั่นคงต่อพระรัตนตรัย เมื่อท่านมี ‘ศรัทธา’ ตั้งมั่นไว้ดีแล้ว คุณประโยชน์อื่นๆ เช่น การศึกษาเล่าเรียน และประพฤติตนตามพระธรรมวินัย ความอดทนมุ่งมั่น และพากเพียร ที่จะบำเพ็ญบุญกิริยาให้ครบถ้วนทั้ง 10 ประการ เป็นต้น ก็ย่อมจะงอกงามตามมา จนกระทั่งบรรลุผลสำเร็จ เป็นปัจจัยเกื้อหนุนความพ้นทุกข์ให้เกิดขึ้นได้ตามลำดับไป สมตามพระพุทธดำรัสที่โปรดประทานไว้ว่า ‘สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา.’ แปลความว่า ‘ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ’ ทุกประการ ขอให้ผู้ขอบวชจงตั้งใจพากเพียรประพฤติตนอยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตลอดเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ถึงจะบวชอยู่เพียงชั่วระยะเวลาไม่นาน แต่บุญกุศลก็อาจบังเกิดขึ้นได้อย่างมหาศาล จากกาย วาจา และใจของท่านเอง และแม้ลาสิกขาไปแล้ว ก็ขอให้ ‘บวชใจ’ ไว้เสมอ เพื่อจักได้เป็นเครื่องกำกับรักษากายและวาจา ให้มั่นคงอยู่ในศีลธรรม เพื่อความเป็นอุบาสกที่ดีในพระศาสนา และเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมไทยตลอดไป” ทั้งนี้ การได้บวชเป็นพระภิกษุ “ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์” สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือเป็นศุภนิมิต ทำให้เกิดความปีติความภาคภูมิใจ ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆก็ทำได้ พิธีกรรมทุกอย่างที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งริเริ่มไว้โดย “พระธรรมโพธิวงศ์” เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา 935 สาธารณรัฐอินเดีย ล้วนมีความสำคัญ และมีนัยสื่อถึงพระพุทธองค์โดยตรง การได้บวชใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงเป็นนิมิตที่เป็นมงคลต่อตนเอง ทำให้เกิดสติปัญญาแตกฉานในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ที่ตรงนั้นเป็นที่ตรัสรู้ธรรมของพระองค์ โบราณอาจารย์ท่านอธิบายไว้ว่า ถ้าบุคคลใดต้องการรับทรัพย์มรดก หรือเป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ต้องไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ เพราะสถานที่ตรงนั้นคือที่รับมรดกความเป็นทายาทของพระศาสดา ฉะนั้นการไปบวชใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จึงเสมือนเราตั้งใจไปรับทรัพย์มรดกของพระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์สิ่งที่ได้จากการบวชที่อินเดียอีกประการคือ เป็นโอกาสหายากที่จะได้ตามรอยบาทของพระพุทธเจ้า ย้อนเวลากลับไปสำรวจจุดกำเนิดของพุทธศาสนา ด้วยการเยือน สังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล ไล่ตั้งแต่สถานที่ตรัสรู้ ในพุทธคยา รัฐพิหาร อินเดีย, สถานที่ปฐมเทศนา ในสารนาถ รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย, สถานที่ปรินิพพาน เมืองกุสินารา รัฐอุตตรประเทศ อินเดีย ไปจนถึงสถานที่ประสูติ เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล คนส่วนใหญ่ไม่กล้าไปอินเดียเพราะกลัวลำบาก ถ้าอยากไปแสวงบุญในแดนพุทธภูมิต้องผ่านด่านทดสอบใหญ่ เพราะการไปบวชยังดินแดนพุทธภูมิ ไม่มีคำว่าสบาย! ทุกคนต้องพบเจอแต่ความลำบากยากเข็ญ ถนนหนทางขรุขระ ระยะทางแต่ละเมืองห่างไกลกันมาก ไปที่ไหนก็มีแต่ฝุ่น ไปที่ไหนก็เห็นแต่ขอทานได้เห็นคนจัณฑาลมือขาดเท้าขาดนอนกองอาจม ต้องคลานมาขอทานเพื่อเลี้ยงชีพ ได้สัมผัสความทุกข์เข็ญจริงๆ รับรองว่าความทุกข์แบบนี้ไม่มีทางได้เห็นในประเทศไทย แต่เมื่อถึงดินแดนพุทธภูมิ เราได้เห็นสัจธรรมของโลก ด้วยเหตุนี้ดินแดนพุทธภูมิจึงมีมาเพื่อศรัทธา ไม่ได้มีเพื่อตัณหา ใครไปยุโรปไปอเมริกาเรียกว่าไปเพื่อสนองตัณหาความสะดวกสบาย แต่คนมาอินเดียต้องมีศรัทธาพามา ไม่ใช่ตัณหาพามา เพราะไม่มีคำว่าสบาย คนส่วนใหญ่ไม่กล้าไปบวชที่อินเดีย เพราะกลัวกิตติศัพท์ชื่อเสียงของอินเดีย กลัวสภาพความเป็นอยู่, ความสกปรก, ความไร้ระเบียบ กลัวสิ่งที่ต้องเผชิญ แม้กระทั่งการเดินทางที่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ชั่วโมง ก็กลัวแล้ว จึงไม่กล้าไปอินเดีย ยอมรับว่าการไปบวชที่อินเดียเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อผ่านมาได้ครั้งหนึ่ง จะรู้สึกว่าทุกอย่างมันง่ายหมด จะไปประเทศไหนก็สะดวกสบาย เพราะได้ทำสิ่งยากที่สุดมาแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังศรัทธา “ดร.บวรศักดิ์” กล่าวย้ำว่า การเดินทางไปบวช ไปปฏิบัติธรรม หรือแสวงบุญ ในดินแดนพุทธภูมิ ถือเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี การเดินทางไปเยือนสังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล จึงเปรียบเสมือนได้ตามรอยบาทพระศาสดา เพื่อให้เกิดความยินดีว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง และหลังจากกลับมาจะรู้สึกได้ว่าพุทธศาสนามีความสำคัญต่อชีวิตของเราจริงๆ รู้สึกว่าโชคดีที่มีโอกาสสัมผัสกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสความหมายแท้จริงของพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้จะเป็นภาพติดตาตรึงใจอยู่ตลอด แม้กลับเมืองไทยก็ยังระลึกนึกถึงตลอด นึกถึงเหตุการณ์ที่ได้ไปบวชไปกราบไหว้พระพุทธองค์ถึงที่ประทับ และไปบำเพ็ญบุญบารมีตามสถานที่สำคัญต่างๆ ยิ่งทำให้เกิดความภูมิใจ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ขอให้รักษาศีลให้ดี, ทำจิตใจให้ผ่องใส, ทำสิ่งที่เป็นความดี, เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น, เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ก็ถือเป็นการสร้างบุญบารมีแล้ว ใครไปเยือน 4 สังเวชนียสถานด้วยจิตศรัทธา ไปทำพุทธานุสติว่า นี่คือที่ประสูติ, ที่ตรัสรู้, ที่แสดงปฐมเทศนา และที่ปรินิพพาน ประโยชน์ในจิตศรัทธาแค่นี้ ก็ไม่ตกนรกแล้ว เป็นประกาศนียบัตรที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง.ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่