หนังสือ “ระบาดบันลือโลก” เขียนโดย ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ พูดถึงการค้นหาความลับของไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปน หรือสแปนิช ฟลู ที่ระบาดหนักคร่าชีวิตคนไปถึง 20-40 ล้านคน เมื่อปี 1918 โดยคนที่สามารถถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสได้ คือ โยฮัน ฮัลทิน แพทย์ชาวสวีดิช ซึ่งใช้เวลามากกว่า 79 ปี ในการค้นหาพันธุกรรมไวรัสจากศพที่ถูกแช่แข็งในอลาสกาอาจเป็นปฏิบัติการ “สืบจากศพ” ที่ใช้เวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การแพทย์ของโลกก็เป็นได้...ที่สำคัญ ฮัสทิน เริ่มต้นการสืบค้นเรื่องนี้ตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา เมื่ออายุ 25 ปี แต่การค้นพบไวรัสที่เป็นต้นเหตุของการระบาดครั้งใหญ่ ประสบความสำเร็จเมื่อเวลาผ่านไปนานถึง 46 ปี ในช่วงที่ฮัสทิน อายุย่างเข้า 72 ปีแล้ว โดยสามารถสกัด RNA ไวรัสจากศพของหญิงสาวที่คาดว่าเสียชีวิตในวัยประมาณ 20 ปี จากเชื้อไวรัสเมื่อปี 1918 ปอดของเธอถูกแช่แข็งในสภาพสมบูรณ์เนื่องจากถูกฝังอยู่ในดินเยือกแข็งที่คงตัวแล้ว (permafrost) ในแถบอลาสกา ฮัลทินตั้งชื่อให้เธอว่า “ลูซีย์” เขานำปอดออกจากร่างและเก็บรักษาในของเหลวรักษาสภาพ จากนั้นฝังร่างของเธอไว้ดังเดิม จัดการแยกตัวอย่างส่งไปให้ Taubenberger และทีมร่วมงาน เวลาผ่านไปอีก 10 วัน ฮัลทินได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า ชิ้นส่วนเชิงพันธุกรรมของไวรัสถูกคัดแยกจากปอดของ “ลูซีย์” ได้ และยังสามารถเรียงลำดับยีนของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปนได้แบบสมบูรณ์ และสามารถเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสได้สำเร็จ ในปี 2005 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนการวิจัยภายหลังที่สืบเนื่องมาจากการเก็บตัวอย่างจากปอดของ “ลูซีย์” มีส่วนช่วยพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ของโลก ในเวลาต่อมา และการค้นพบของฮัลทินถูกมองว่านำมาสู่ข้อมูลที่ประเมินค่ามิได้ ในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ปี 2017 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน การค้นคว้าวิจัยจากศพยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อทุ่งโล่งอันเขียวขจีแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริดา ของสหรัฐฯ มีต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงามอย่างผิดหูผิดตาความลับถูกเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ทุ่งหญ้าแห่งนี้ แท้ที่จริงแล้ว คือ “ฟาร์มศพ” และต้นไม้ที่งอกงามอย่างน่าอัศจรรย์นั้นก็เป็นเพราะพืชบริเวณนี้ได้รับสารอาหารจากร่างอันเน่าเปื่อยของมนุษย์นั่นเองทุ่งหญ้าขนาดประมาณ 6 ไร่ มีศพมนุษย์ 15 ศพกระจายอยู่โดยรอบบริเวณ ทั้งหมดไม่สวมเสื้อผ้า บางศพอยู่ในกรงเหล็ก ขณะที่บางศพถูกห่อด้วยพลาสติกสีฟ้า และบางศพถูกฝังอยู่ในหลุมตื้นๆ แต่ส่วนมากจะถูกวางไว้ในที่โล่งท่ามกลางสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ที่นี่คือห้องปฏิบัติการกลางแจ้งทางนิติมานุษยวิทยา (Forensic Anthropology) ของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลนอกเมืองแทมปา บางคนเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “ฟาร์มศพ” แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์จะเรียกสถานที่แบบนี้ ว่า “สุสานทางนิติเวชศาสตร์” เป็นสถานที่ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตหลังจากตายไปแล้วเอริน คิมเมิร์ล ผู้อำนวยการสถาบันนิติมานุษยวิทยา ของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา ให้สัมภาษณ์กับสื่อ BBC ว่า “เมื่อคนตาย จะมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ตั้งแต่กระบวนการเน่าสลายตามธรรมชาติ ไปจนถึงการมีแมลงไปไต่ตอมศพ และการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศโดยรอบฟาร์มศพ ของมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดาแห่งนี้ไม่ใช่แห่งเดียวในสหรัฐฯ ยังมีฟาร์มลักษณะเดียวกันอีก 6 แห่งในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับในออสเตรเลีย แคนาดา และสหราชอาณาจักรแม้ว่าจะมีผู้คนและชุมชนรอบข้างที่รู้สึกไม่สบายใจ และไม่เห็นด้วยกับการมีศพคนนอนเรียงรายในที่เปิดโล่งใกล้ชุมชน แต่ในความเห็นของ ดร.คิมเมิร์ล และทีมงานเชื่อว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องศึกษาศพที่กำลังเน่าเปื่อยในขณะที่กระบวนการดังกล่าวกำลังเกิดขึ้น และในสภาพแวดล้อมจริง จุดประสงค์หลักของฟาร์มศพที่นี่ คือ การศึกษาทำความเข้าใจกระบวนการเน่าสลายของศพ ตั้งแต่ ศพสดๆ ขึ้นอืด เน่าสลายระยะแรก เน่าสลายระยะสุดท้าย ไปจนถึงศพแห้ง และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบศพมีนักวิทยาศาสตร์ด้านนิติเวชศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่สนใจทำงานวิจัยที่นี่ โดยหวังว่า ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับศพในสถานการณ์ต่างๆ จะเป็นประโยชน์อย่างมากการบันทึกข้อมูลศพแต่ละร่าง โดยการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ สังเกตดู และจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ เช่น ท่าที่ศพถูกวาง ตำแหน่งของศพว่าอยู่ใกล้น้ำ หรืออยู่ใต้ดิน อยู่ในกรง หรืออยู่ในที่เปิดโล่ง โดยนักธรณีวิทยาและนักธรณีฟิสิกส์จะเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกับดิน น้ำ อากาศ และพืช ที่อยู่รอบศพ เพื่อหาว่าสิ่งที่ไหลออกจากร่างกายมนุษย์ที่กำลังเน่าเปื่อยจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร และเมื่อศพกลายสภาพเป็นโครงกระดูก ก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้ที่ “แล็บแห้ง” ซึ่งที่ห้องปฏิบัติการนี้จะมีการนำกระดูกมาทำความสะอาดและเก็บรักษาไว้ให้นักศึกษาและนักวิจัยได้ใช้งานต่อไปคนส่วนใหญ่อาจรู้สึกว่านี่คืองานที่น่ากลัว แต่ ดร.คิมเมิร์ลระบุว่า เธอไม่รู้สึกลำบากใจในการทำงานนี้เลย เพราะในฐานะนักวิทยาศาสตร์ และการทำงานเป็นมืออาชีพ คุณเรียนรู้ที่จะเว้นระยะห่างของตัวเอง ซึ่งเธอหมายถึงการปิดกั้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองจากสิ่งที่ผู้คนหวาดกลัวอย่างความตาย ส่วนที่ยากที่สุดของงานนี้คือการได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนของศพที่ต้องศึกษา และงานนี้ก็คุ้มค่าอย่างมาก เพราะอาจช่วยไขคดีฆาตกรรมที่ยังปิดไม่ลงเกือบ 250,000 คดีในสหรัฐฯนับแต่เปิดทำการเมื่อเดือน ต.ค.ปี 2017 ฟาร์มศพที่นี่ได้รับบริจาคศพเพื่อการศึกษาแล้วมากกว่า 50 ศพ และมีคนอีก 180 รายที่ตัดสินใจบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาเมื่อพวกเขาเสียชีวิตลง“คนที่เข้าใจงานวิจัยลักษณะนี้และประโยชน์ในการใช้งานจริงก็จะตระหนักว่าฟาร์มศพมีความจำเป็นอย่างไร” ดร.คิมเมิร์ลทิ้งท้ายก่อนจบการสนทนา.