คาริบดีสเป็นวังวน ส่วนซิลลาเป็นอสุรกาย 6 หัว.คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนสัปดาห์นี้ ขอพาแฟนานุแฟนล่องทะเลไปทำความรู้จักกับ ซิลลา (Scylla) และคาริบดีส (Charybdis) มหันตภัยจากตำนานกรีกกันครับ สองสัตว์ประหลาดนี่เป็นสิ่งคู่กัน ถ้าเจอซิลลาก็ต้องเจอคาริบดีส เพราะทั้งสองสถิตอยู่ประมาณตรงข้ามกัน ณ ช่องแคบเมสสินาระหว่างซิซิลีและคาลาเบรีย บนแผ่นดินใหญ่ของอิตาลีซิลลาและคาริบดีสเป็นอมตะ ทำลายไม่ได้ ซึ่งถ้าจะว่าไปตามจริง มันก็คือธรรมชาติในทะเลที่นั่น คาริบดีสคือวังน้ำวน ส่วนซิลลาคือหินก้อนใหญ่ หรือหินโสโครก ที่เรือซึ่งหลบน้ำวนคาริบดีสแล้วเป็นต้องเสียหลักแกว่งเข้าหาหินซิลลา ผลลัพธ์ก็คือเรือจะกระแทกหินจนเรือแตก พูดง่ายๆว่าถ้าหลีกคาริบดีสได้ก็ต้องเจอกับหินซิลลา ถ้าหลีกซิลลาก็ต้องไปเจอกับวังน้ำคาริบดีส ชาวเรือจึงมีคำเปรียบเทียบเป็นสำนวนใช้กันต่อมาว่า “ระหว่างซิลลาและคาริบดีส (between Scylla and Charybdis)” หมายถึงอันตรายใหญ่หลวงที่หลีกไม่พ้น หรือการติดอยู่ระหว่างทางเลือกที่เป็นตายเท่ากัน (ถ้าเป็นไทยก็ว่า “หนีเสือปะจระเข้” นั่นละครับ)ว่าไปแล้ว ทั้งซิลลาและคาริบดีสก็เป็นตัวร้ายที่จะเชิดชูความเป็นฮีโร่แก่วีรบุรุษและเทพเจ้า ดังที่เจสันและเหล่าลูกเรืออาร์โก, โอดิสซิอัส, และเอนิอัสต้องพบเจอแต่ก็ตามธรรมเนียมกรีกละครับ ที่หากจะเล่าถึงอะไรที่เกินกว่ามนุษย์ (สมัยนั้น) จะจัดการได้ เขาก็ย่อมอธิบายด้วยการโยนให้เป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติไปเสีย ทำนองเดียวกับซิลลาและคาริบดีสซึ่งแทนที่จะบอกว่ามันเป็นธรรมชาติก็คงไม่เร้าใจเท่ากับเล่าให้เป็นนิยาย งั้นเรามาเริ่มที่คาริบดีสก่อนก็แล้วกันนะครับ ภาพเปรียบเปรยสำนวน “ระหว่างซิลลาและคาริบดีส”.คาริบดีส (กรีกอ่าน : ชาริบดีส) ลักษณะของนางเป็นวังวนขนาดมหึมา วังวนนี้จะดึงน้ำเข้าและพ่นออกสามครั้งต่อวัน สามารถกลืนเรือได้หลายลำในคราวเดียว ตำนานคาริบดีสไม่ค่อยมีอะไรแปลกพิสดารครับ แต่ก็มีหลายสำนวนอย่างในตำนานหนึ่งเล่าว่าคาริบดีสเป็นลูกสาวของเจ้าสมุทรโพไซดอนและไกอา เทพีแห่งโลก แต่คาริบดีสเป็นคนตะกละไม่รู้จักอิ่ม ถึงขนาดขโมยวัวจากเฮอร์คิวลิสเพื่อเอามากินให้พอ มหาเทพซูสโกรธมากจึงสาปนางให้เป็นอสุรกาย อีกตำนานก็ว่า ซูสสาปนางเพราะคาริบดีสมีเจตนาจะขโมยวัวจากเฮอร์คิวลิส ลูกชายของซูส หรืออาจเพราะคาริบดีสช่วยโพไซดอนขยายอาณาจักร ทำให้ซูสโกรธมาก จึงสาปให้เขมือบน้ำอยู่ใต้น้ำแต่ไม่ว่าตำนานใดจะว่าอย่างไร ทั้งหมดประมวลแล้วก็มุ่งไปถึงความตะกละอย่างเดียวเลยครับ จนแม้เมื่อกลายเป็นอสุรกายขนาดมหึมาแล้วนางก็ไม่ได้หยุดสวาปาม ทำให้นางยังคงกลืนกินน้ำจำนวนมากแล้วพ่นกลับขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่วันละสามครั้ง แรงมหาศาลของวังน้ำวนสามารถดูดเรือขนาดใหญ่ให้ดิ่งลงใต้น้ำได้ (ด้วยเหตุนี้อีกละที่ทำให้ในบางตำนานกล่าวว่าคาริบดีสเป็นเพียงน้ำวนเท่านั้น ไม่ใช่อสุรกาย)ซิลลาก็เช่นเดียวกับคาริบดีส อสุรกายตนนี้เกิดมาเป็นอสูรแต่เดิม บางตำนานว่าเป็นเทพธิดาประหลาดยุคแรกแห่งทะเล โดยถือว่าเป็นลูกสาวของเซโต (Ceto) แต่ต่อมาก็มีนักเขียนเล่าถึงการเปลี่ยนร่างของซิลลาจากนางนิมฟ์ไปเป็นสัตว์ประหลาดครับ ด้านบนคือซิลลา มุมขวาล่างคือคาริบดีส.โดยเล่าว่า เดิมนางพรายซิลลา (ฝรั่งเรียกนางนิมฟ์ แต่ผมขอเรียกนางพรายตามแบบไทยนะครับ) เป็นสาวงามสวยหยาดเยิ้ม ซึ่งนางอาจเป็นถึงลูกของโพไซดอนเองกับสนมเล็กๆคนหนึ่งในจำนวนนับพัน นางจึงป้วนเปี้ยนอยู่ในวังของโพไซดอนกระทั่งเติบโตเป็นสาว ความสวยของนางเกิดไปเตะตาเทพแห่งทะเลโพไซดอน ท้าวเธอคลั่งไคล้หลงใหลขนาดอยากได้เป็นเมีย ชะรอยจะเป็นชะตากรรมของซิลลาละครับ จึงทำให้นางแอมฟิไตรตี (Amphitrite) มเหสีโพไซดอนเกิดอาการหึงหวงทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่ว่าสวามีจะเจ้าชู้มากขนาดไหน แอมฟิไตรตีก็ไม่เคยเดือดร้อน แต่คราวนี้นางเกิดลุกขึ้นมาเล่นบทหึงสามี อาจเพราะความสาวและความสวยของซิลลามีมากเสียจนมหาเทพอาจลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง แอมฟิไตรตีจึงไปหาแม่มดเซอร์ชี นางจ้างแม่มดคนนั้นให้ทำอะไรสักอย่างให้ความสวยของซิลลาหมดไปแม่มดเซอร์ชีรับคำ นางเที่ยวไปหาสมุนไพรวิเศษมาผสมขึ้นเป็นยาพิษร้าย แล้วก็แอบดอดเข้าไปยังสระน้ำเล็กๆที่ซิลลาลงอาบเป็นประจำ สาวงามซิลลาซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ลงอาบน้ำตามปกติ แต่แล้วพิษจากสมุนไพรผสมเวทวิเศษก็ทำให้ซิลลารู้สึกแปลกประหลาดด้วยความร้อนรุ่มเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง ในที่สุดทนไม่ไหวก็ขึ้นจากน้ำ แต่คราวนี้นางรู้สึกเหมือนงุ่มง่ามอืดอาดขึ้นเรื่อยๆ ซิลลาเอะใจ นางก้มลงมองเงาตนในน้ำ เงาสะท้อนนั้นทำให้ซิลลาตกใจแทบสิ้นสติ เพราะเงาที่นางเห็น ไม่ใช่ซิลลาสาวงามคนเดิมเสียแล้ว รูปร่างและใบหน้าแสนงามบัดนี้กลายไปเป็นอสุรกายที่มีคองอกยืดยาวเพิ่มขึ้นเป็น 6 คอ บนคอมีหัวสุนัขขนาดใหญ่ ซึ่งในยามแสยะปากจะเห็นฟันแหลมคมเหมือนฉลาม 3 แถว แขนขาก็ยังงอกเพิ่มออกเป็น 12 ขา ความรู้สึกเป็นคนกำลังจะหายไป ความรู้สึกอับอายสุดท้ายทำให้ซิลลาตระเวนออกหาที่อยู่ใหม่ จนพบที่ซ่อนที่หน้าผาจึงอาศัยอยู่ที่นั่น ซิลลาใช้ชีวิตด้วยการยื่นหัวออกมาจากถ้ำของเธอ กินสิ่งใดก็ตามที่เอื้อมถึง ไม่ว่าสัตว์ทะเลหรือคนเรือที่พลัดหลงเข้ามาเป็นอาหาร จนกลายเป็นที่เลื่องลือในความน่ากลัว ซิลลาและคาริบดีส.ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนร่างซิลลา ทำเอานางแอมฟิไตรตีทั้งสงสารและเสียใจ เลยไม่ออกอาการหึงสามีจนหน้ามืดตั้งแต่นั้นมาตำนานเรื่องที่ 2 ของซิลลาเล่าว่า นางพรายซิลลาเป็นหนึ่งในนางนิมฟ์น้ำผู้งดงาม จนไปต้องใจกลอคัส (Glaucus) เทพชั้นรองแห่งท้องทะเลเดิมกลอคัสเป็นชาวประมง อาศัยอยู่ในเมืองแอนเธอดอน แห่งบีโอเชียน เขาไปพบสมุนไพรวิเศษที่สามารถทำให้ปลาที่เขาจับมากลับมามีชีวิตใหม่ได้ กลอคัสก็เลยลองกินสมุนไพรนั้นดู ปรากฏว่าสมุนไพรทำให้เขาเป็นอมตะ แต่มันก็มีผลข้างเคียงทำให้เกิดมีครีบงอกแทนแขน มีหางปลางอกแทนขา (บางตำนานว่าเป็นเงือกเพศชาย) บังคับให้เขาต้องอยู่ในทะเลตลอดกาล แรกๆกลอคัสไม่พอใจกับผลข้างเคียงนี้ แต่ต่อมาเทพโอซียานุสและเทพีเทธิสก็ยอมรับเขาไว้ในหมู่เทพเจ้าแห่งท้องทะเล และเขาได้เรียนรู้จากศิลปะแห่งการพยากรณ์จากพวกนั้น ซึ่งเชื่อกันว่า เขามีหน้าที่ช่วยเหลือกะลาสีและชาวประมงในพายุให้พ้นภัยตามท้องเรื่องอันดับถัดมา เล่าว่ากลอคัสเกิดไปตกหลุมรักนางพรายซิลลาผู้งดงาม และอยากได้เธอมาเป็นภรรยา ทว่าซิลลากลับรู้สึกตกใจรวมทั้งรังเกียจลักษณะเหมือนปลาของเขา เลยหนีขึ้นแผ่นดิน ที่ที่กลอคัสไม่อาจตามได้ ทว่ากลอคัสไม่ลดละ เขาไปหาเซอร์ชีเพื่อให้นางทำยาเสน่ห์ให้ซิลลาหันกลับมาหา แต่เรื่องมันกลับพัลวันมากกว่านั้นตรงที่นางแม่มดเซอร์ชีดันเกิดรักแรกพบกับกลอคัสซะงั้น เซอร์ชีขอให้เขาเปลี่ยนใจ หว่านล้อมอ่อนหวานให้เทพแห่งทะเลกลับมารักนางจะดีกว่า เรื่องมันอาจไม่ร้ายแรงเท่าไหร่หากเซอร์ชีจะไม่ด่าว่าและเปรียบเทียบตนเองกับซิลลาและขอให้เขาเลือกนางแทน นี่เองที่ทำให้กลอคัสชักโกรธ จึงตอบไปว่า รอจนต้นไม้โตที่พื้นสมุทรหรือสาหร่ายทะเลไปงอกบนภูเขาสูงที่สุด เขาก็อาจหยุดรักซิลลา แล้วเขาก็กลับไป โอดิสซิอัสแล่นเรือผ่านซิลลา.คำตอบของกลอคัสสร้างมหันตภัยใหญ่หลวง นางเซอร์ชีคุมแค้น จึงปรุงยาสั่งนำไปหยดในบริเวณสระที่ซิลลาอาบน้ำ พิษร้ายกาจของยานั้นเปลี่ยนร่างซิลลาให้กลายเป็นอสุรกายน่าสะพรึง หัวนางเปลี่ยนเป็นหัวสุนัขขนาดใหญ่ และยังงอกเพิ่มออกเป็น 6 หัว คองอกเยื้อยยาวเพิ่มขึ้นเป็น 6 คอ หัวสุนัขแสยะปากเต็มไปด้วยฟันแหลมคม และแขนขาก็ยังงอกเพิ่มออกเป็น 12 ขา ดังที่เล่าไปแล้วอสุรกายซิลลาและคาริบดีสปรากฏอยู่ในตำนานการผจญภัยของวีรบุรุษหลายคนทีเดียวครับ ดังจะเห็นจากมหากาพย์โอดิสซี เรื่องเจสันกับขนแกะทองคำ และ เฮอร์คิวลิสในมหากาพย์โอดิสซี เล่าถึงการ เผชิญหน้าอย่างสำคัญของ โอดิสซิอัส เมื่อเดินทาง กลับบ้านหลังเสร็จศึกทรอย จน ไปถึงซิลลาและคาริบดีส แต่ความโชคดีในความโชคร้ายคือเขาเคยไปอยู่กินกับนางแม่มด เซอร์ชีพักหนึ่ง และนางนั่นเองที่ บอกโอดิสซิอัส ว่า หากเจอ ซิลลาและคาริบดีส เมื่อใด ให้เลือกเดินทางเลียบใกล้ซิลลา มากกว่า คาริบดีส อย่างน้อยจะเสียคนสักหกคนเป็นเหยื่อนางซิลลา ดีกว่าจะต้องเสียเรือทั้งลำแก่คาริบดีส ดังนั้น เมื่อมาถึงบริเวณที่ว่า โอดิสซิอัสก็สั่งให้ยึดหน้าผาที่ซ่อนของซิลลาเป็นหลัก เลียบประชิดเข้าไว้ ในขณะที่เขาและคนของเขาจ้องมองที่คาริบดีส ที่อีกด้านหนึ่งของช่องแคบหัวของซิลลาก็โฉบลงมาอย่างเงียบเชียบและฮุบลูกเรือไปกินหกคนจริงดังคำของเซอร์ชี ทำให้โอดิสซิอัสและคนที่เหลือในเรือรอดหวุดหวิด กลอคัสและซิลลา.ส่วนการเผชิญหน้าของเจสันที่พบกับซิลลาและคาริบดีสเกิดขึ้นในการผจญภัยเสาะหาขนแกะทองคำ เวลานั้นเจสันจำเป็นต้องแล่นเรืออาร์โกเข้าไประหว่างสัตว์ประหลาดทั้งสอง โดยที่เขามองทางรอดไม่เห็น ทว่าสถานการณ์ของเจสันต่างกับโอดิสซิอัสลิบลับ เพราะรายแรกต้องลุยไปข้างหน้าโดยต้องเสียลูกเรือแลกกับทางรอด ส่วน เจสัน มีเทพเจ้าช่วยเหลือ ทั้งเฮราและเทธิสรวมทั้งเหล่าเนเรียดพร้อมใจกันช่วย จนทำให้เจสันและเหล่าลูกเรืออาร์โกเดินทางเล็ดลอดระหว่าง ซิลลาและคาริบดีสได้อย่างปลอดภัยแบบฉิวเฉียดในเรื่องการผจญภัยของ เฮอร์คิวลิส เล่าไว้ว่า เมื่อเฮอร์คิวลิสเดินทางมาถึงแถบ ซิลลาและคาริบดีส เขาเดินเรือเลียบถ้ำนางซิลลา ปรากฏว่านาง สัตว์ประหลาดขมายเขมือบวัวที่เขาขโมยจากเกอยอนไปบางตัว ทำให้เขา โกรธนางอสุรกายเป็นอันมาก จึงหาทางตามรอยนาง ซิลลา และในที่สุดก็ฆ่านางได้ (แปลกไปนิดหน่อยเพราะตอนแรกว่านางเป็นอมตะนี่) แม้ตอนหลังซิลลาจะ ถูกชุบชีวิตอีกครั้งโดยโฟคิส เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าสายน้ำบริเวณนั้นยังคงเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อไปตลอดกาลก็ตาม.โดย :คอสมอสทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน