ไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว แฟนานุแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานต่วย’ตูน ส่วนใหญ่คงจะทราบกันดีว่า เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระเยซู วันนี้ผมจึงนำเรื่องการตามหาสุสานของพระเยซูมาเล่าสู่กันฟังครับย้อนกลับไปในปี ค.ศ.30 ณ กรุงเยรูซาเล็มประเทศอิสราเอล ชาวยิวผู้เป็นศาสดาของคริสต์ศาสนาที่รู้จักกันในนาม “เยซูชาวนาซาเร็ธ” (Jesus of Nazareth) ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการ “ตรึงกางเขน” พระองค์ต้องแบกกางเขนอันหนักอึ้งด้วยร่างกายที่อ่อนล้าจากการถูกโบยตีและดูหมิ่นสารพัดไปยังจุดตรึงกางเขนที่พระคัมภีร์ไบเบิลบทมัทธิว 27:33 (Matthew 27:33) เรียกขานว่า “เนินกลโกธา” หมายความถึง “เนินหัวกะโหลก”พระเยซูเดินแบกไม้กางเขนไปตาม “เส้นทางมหาทรมาน” (Via Dolorosa) ที่ในปัจจุบันนำพานักเดินทางไปยัง “โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์” (Church of the Holy Sepulchre) ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างทับเอาไว้บนสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน และแน่นอนครับว่าเป็นสถานที่ที่เหล่าคริสตชนเชื่อกันว่าเป็น “สุสาน” ที่แท้จริงของพระเยซูด้วยเช่นกัน โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์.ว่าแต่ “โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์” คือที่ตั้งสุสานของพระเยซูโดยไม่มีข้อกังขาเลยเช่นนั้นหรือ? ไม่ใช่หรอกครับ “โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์” ไม่ได้เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่ถูกเสนอให้เป็น “สุสาน” ของพระเยซู แต่ยังมีสถานที่อีกไม่น้อยเลยล่ะครับที่เข้าข่ายเป็นสุสานของพระคริสต์ และในครั้งนี้เราจะมาดูกันครับว่าหลังจากที่พระเยซูแบกกางเขนไปยังเนินกลโกธาและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วนั้น พระศพของพระองค์เคยถูกนักวิชาการเสนอว่าน่าจะถูกนำไปฝังเอาไว้ ณ สถานที่ แห่งใดได้บ้าง? เรามาเริ่มต้นกันด้วยสุสานที่นักโบราณคดีและคริสตชนส่วนหนึ่งโดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์เชื่อว่าเป็นสุสานของพระเยซูกันก่อนเลยดีกว่า สถานที่แห่งนั้นถูกเรียกขานกันว่า “สุสานในสวน” (Garden Tomb) ครับ สุสานในสวน.สุสานในสวนตั้งอยู่ห่างออกมาจากโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ทางทิศเหนือเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตร มีลักษณะเป็นสุสานที่เจาะเข้าไปในหิน บริเวณพื้นด้านล่างส่วนหน้าของสุสานมีร่องยาวที่อาจจะเคยใช้ประหนึ่งรางเลื่อนของประตูหินวงกลมที่ใช้กลิ้งปิดปากทางเข้าออกของสุสาน หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สุสานในสวนเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงนั้นก็เป็นเพราะว่าเมื่อพิจารณาจากพระคัมภีร์ไบเบิลแล้วก็จะพบว่ารูปร่างลักษณะของสุสาน อีกทั้งสถานที่ตั้งของสุสานแห่งนี้ตรงตามที่ระบุเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลหลายประการเลยล่ะครับ ข้อแรกคือสุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ “นอกกำแพงเมือง” ตรงตามที่พระคัมภีร์เขียนเอาไว้ นอกจากนั้น ห่างออกไปจากสุสานในสวนไม่ไกลนักยังมี “หน้าผาธรรมชาติ” ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ “กะโหลก” ด้วยว่ามีร่องหินลึกที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าดูแล้วช่างคล้ายคลึงกับดวงตาทั้งสองข้างแถมยังมีสันจมูกอย่างพอเหมาะพอเจาะจนดูคล้ายกับกะโหลกมนุษย์เป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าสุสานในสวนคือสุสานของพระเยซูด้วยหรือไม่? ผาหินรูปทรงคล้ายกะโหลก ใกล้กับสุสานในสวน.นักวิชาการส่วนใหญ่คิดว่าสุสานในสวนยังไม่ใช่สุสานของพระเยซูหรอกครับ เพราะถึงแม้ว่าสุสานในสวนจะตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง แถมยังมีร่องยาว ด้านหน้าที่อาจจะเคยใช้ประหนึ่งรางเลื่อนของประตูหิน เพื่อปิดทางเข้า อีกทั้งยังอยู่ใกล้ “หัวกะโหลก” ที่อาจจะเป็น “กลโกธา” ตามที่ระบุเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลก็จริง แต่ถ้าอ้างอิงตามพระคัมภีร์บทลูกา 23:53 (Luke 23:53) ที่กล่าวว่า “เมื่อเชิญพระศพลงแล้ว เขาจึงเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ ซึ่งเจาะไว้ในศิลาที่ยังมิได้วางศพผู้ใดเลย” นั่นหมายความว่าสุสานแห่งนี้ต้องเป็นสุสานที่ “ยังมิได้วางศพผู้ใดเลย” ด้วย ทว่าหลักฐานที่นักโบราณคดีค้นพบจาก “สุสานในสวน” แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่ “สุสานใหม่” ในสมัยของพระเยซูหรอกครับ เพราะอายุของสุสานในสวนแห่งนี้น่าจะสามารถย้อนกลับไปได้ถึงช่วงประมาณศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสตกาลเลยทีเดียว นั่นหมายความว่าสุสานแห่งนี้ถูกใช้งานมานานหลายร้อยปีก่อนยุคสมัยของพระเยซูแล้วล่ะครับนอกจากนั้นนักวิชาการยังเสนอกันว่าแท้ที่จริงแล้วชื่อ “กลโกธา” ที่แปลว่าหัวกะโหลกนั้นก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ของหน้าผาหินที่มีใบหน้าคล้ายหัวกะโหลกหรอกครับ แต่ด้วยว่าในอดีตพื้นที่บริเวณนี้คือ “ลานประหาร” ที่มีกระดูกและกะโหลกของเหยื่อผู้โชคร้ายกระจัดกระจายไปทั่ว จึงเป็นที่มาของชื่อเนิน “กลโกธา” ที่แปลว่า “หัวกะโหลก” ก็เท่านั้นเองแล้วทำไมคริสตชนอีกส่วนหนึ่งถึงเชื่อว่าสุสานของพระเยซูถูกฝังเอาไว้ใน “โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์” ล่ะ? จริงๆแล้วนักโบราณคดีก็ยังไม่เคยค้นพบหลักฐานที่ยืนยันได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์คือสุสานที่แท้จริงของพระเยซูหรอกครับ แต่อาคารที่ทำให้นักโบราณคดีและนักวิชาการเสนอว่าโบสถ์แห่งนี้ครอบทับเอาไว้บนสุสานโบราณที่อาจจะ เป็นของพระคริสต์ก็คือ “วิหารศักดิ์สิทธิ์เอดิคูเล” (Edicule) อันเป็นที่ตั้งของแผ่นหินอ่อนที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่วางพระศพของพระเยซูหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ วิหารศักดิ์สิทธิ์เอดิคูเล.แต่ถึงอย่างนั้นแรกเริ่มเดิมทีนักโบราณคดีสามารถระบุอายุความเก่าแก่ของแผ่นหินอ่อนนี้ย้อนกลับไปได้ถึงประมาณช่วงปี ค.ศ.1555 เท่านั้นเองครับ แต่เมื่อปลายปี ค.ศ.2017 ที่ผ่านมาก็ได้มีการค้นพบทางโบราณคดีครั้งสำคัญหลังจากที่กลุ่มนักบูรณะได้ซ่อมแซมวิหารศักดิ์สิทธิ์เอดิคูเล จนทำให้ตอนนี้นักโบราณคดีมั่นใจว่าโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์นี้มีความเก่าแก่ย้อนกลับไปได้ถึงช่วงปี ค.ศ.345 ใกล้เคียงกับข้อมูลที่ระบุว่าโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ที่ 1 (Constantine I) เลยล่ะครับนักประวัติศาสตร์ทราบดีว่าจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันผู้เลื่อมใสในคริสต์ศาสนาได้สร้างโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาครอบทับเหนือสุสานของพระเยซูในช่วงประมาณปี ค.ศ.326 ถือได้ว่าใกล้เคียงกับอายุของเศษปูนที่เพิ่งค้นพบจากวิหารศักดิ์สิทธิ์เอดิคูเลเมื่อปี ค.ศ.2017 อยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าแผ่นหินนี้จะใช่แผ่นหินที่ใช้วางร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์ด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์นี้มีอายุย้อนกลับไปได้ไกลถึงสมัยของชาวโรมันอย่างแน่นอน ทางเข้าสุสานทัลไพออตยังมีผู้ท้าชิงใหม่อีกหนึ่งแห่ง สุสานที่ว่านั้นมีชื่อว่า “สุสานทัลไพออต” (Talpiot Tomb) ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสุสานที่ฝังพระศพ “ครอบครัวของพระเยซู” เอาไว้ และถ้าที่นี่เป็นสุสานของพระเยซูจริงๆแล้วล่ะก็ สถานที่แห่งนี้จะ “สั่นคลอน” ความเชื่อของคริสตชนได้ไม่น้อยเลยล่ะครับ!!นักโบราณคดีทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของสุสาน แห่งนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 แล้ว สุสานทัลไพออตตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม เชื่อกันว่าเป็นสุสาน “ครอบครัว” ของพระเยซู โดยผู้ที่ถูกฝัง ร่วมกับพระเยซูในสุสานทัลไพออตก็คือสตรีนามว่า “แมรี แม็กดาลีน” (Mary Magdalene) ที่เชื่อกันว่าเป็นภรรยาของพระเยซู อีกทั้งยังมี “ยูดาส” (Judas) ซึ่งเสนอกันว่าเป็นโอรสของทั้งคู่ฝังอยู่ด้วยเมื่อมองจากด้านนอก ทางเข้าไปยังสุสานทัลไพออตประดับไปด้วยรูปทรงคล้ายหน้าจั่ว ด้านล่างแกะสลักเป็นรูปวงกลมซึ่งนักวิชาการยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง ด้านในสุสานมีห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ผนังทั้งสามด้านถูกเจาะเข้าไปเป็นช่องเล็กๆรวมหกช่อง แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดที่ค้นพบจากสุสานทัลไพออตนี้คือ “โกศหินบรรจุกระดูก” (Ossuaries) จำนวนทั้งสิ้น 10 โกศ นอกจากนั้นบริเวณด้านข้างของโกศหินขนาดเล็กเหล่านี้ยังมี “จารึก” ที่บ่งบอกถึงชื่อเจ้าของโกศเอาไว้ด้วย หนึ่งในนั้นเขียนว่า “Yeshua bar Yosef” แปลความหมายได้ว่า “เยซูบุตรแห่งโยเซฟ” และถ้าโกศนี้รวมถึงกระดูกที่อยู่ในโกศเป็นของพระเยซูจริงๆแล้วล่ะก็ คริสตจักรจะต้องสั่นคลอน เพราะนั่นย่อมหมายความว่าพระเยซูไม่เคยฟื้นคืนพระชนม์ชีพเลย ยังไงล่ะครับ!! รอยขีดที่เขียนว่า “เยซูบุตรแห่งโยเซฟ”.แท้ที่จริงแล้ว สุสานทัลไพออตโด่งดังขึ้นมาในฐานะหนึ่งในผู้ท้าชิงสำคัญด้านสุสานของพระเยซูจากสารคดีที่ออกฉายในปี ค.ศ.2007 ชื่อ “สุสานที่สาบสูญของพระเยซู” (The Lost Tomb of Jesus) เป็นผลงานของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง “เจมส์ แคเมรอน” (James Cameron) นำเสนอเกี่ยวกับโกศหินทั้ง 10 ใบรวมถึงโกศใบที่ 11 ที่อยู่ในมือของนักสะสมมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970s ด้วย ความโดดเด่นของโกศใบที่ 11 อยู่ที่จารึกซึ่งสลักเอาไว้ว่า “ยากอบ บุตรแห่งโยเซฟ น้องชายของเยซู” ซึ่งมีรูปแบบคล้ายคลึงกับจารึกที่ปรากฏบนโกศใบอื่นๆที่ค้นพบจากสุสานทัลไพออตอย่างน่าทึ่ง จนมีการตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่าบางทีโกศใบนี้อาจจะเคยตั้งอยู่ในสุสานทัลไพออตมาก่อนก็เป็นได้ และเพื่อเป็นการพิสูจน์สมมติฐานนี้ ทีมงานถ่ายทำสารคดีจึงได้นำเอาตัวอย่างของดินจากโกศที่ค้นพบในสุสานทัลไพออตพร้อมกับดินจากโกศของยากอบไปตรวจสอบ และผลลัพธ์ที่สารคดีนำเสนอออกมาก็คือ ดินที่มาจากทั้งสองโกศมีคุณลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก จึงมีการสรุปกันว่าโกศของยากอบนั้นน่าจะเคยตั้งอยู่ในสุสานทัลไพออตมาก่อนจริงๆ!!แต่ประเด็นที่นักวิชาการด้านพระคัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่ให้ความสนใจก็คือ ถึงแม้ว่าโกศทั้ง 11 ใบนี้จะจารึกชื่อของบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testament) เอาไว้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชื่อของเครือญาติที่ปรากฏบนโกศจะถูกต้องตามที่ระบุเอาไว้ในพระคัมภีร์เสมอไป เช่นโกศใบหนึ่งที่ค้นพบในสุสานทัลไพออตแสดงชื่อของ “มัทธิว” (Matthew) เอาไว้อย่างชัดเจน แต่นักวิชาการก็ทราบดีว่ามัทธิวไม่ได้เป็นหนึ่งในเครือญาติของพระเยซูอย่างแน่นอน นอกจากนั้นโกศหินที่มีข้อความสลักเอาไว้ว่า “Yehuda bar Yeshua” หรือ “ยูดาสบุตรแห่งเยซู” ก็ชวนให้นักวิชาการตั้งคำถามถึง “ยูดาส” คนนี้ได้ไม่น้อยเหมือนกันครับ ภาพจินตนาการถึงการฝังพระศพพระเยซู.คำถามสำคัญก็คือโกศหินทั้ง 11 ใบนี้เกี่ยวข้องกับ “เยซูชาวนาซาเร็ธ” จริงแท้แค่ไหน? ถึงแม้ว่า สารคดี “สุสานที่สาบสูญของพระเยซู” จะพยายามโน้มน้าวให้ผู้ชม “เชื่อว่าจริง” แต่สำหรับนักวิชาการแล้ว สารคดีนี้ยังมีช่องโหว่อีกมากจนทำให้ทฤษฎีที่นำเสนอออกมาไม่น่าเชื่อถือเสียเลยทีเดียวประเด็นแรกก็คือ “ชื่อ” ของบุคคลที่ปรากฏบนโกศ ซึ่งถึงแม้ว่าบางชื่อจะสอดคล้องกับครอบครัวของพระเยซูก็จริง แต่ว่าชื่อ “เยซู” หรือ “แมรี” นั้นล้วนเป็น “ชื่อยอดนิยม” ในสมัยนั้น ไม่ต่างจากชื่อ “แบงค์” หรือ “เมย์” ในบ้านเรายุคนี้ ดังนั้นชื่อของ “เยซู” หรือ “แมรี” รวมถึงชื่ออื่นๆที่ปรากฏอยู่บนโกศที่ค้นพบในสุสานทัลไพออตจึงอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “เยซูชาวนาซาเร็ธ” เสมอไป แต่อาจสื่อถึง “เยซู” คนอื่นๆก็เป็นได้ ภาพสื่อถึงการฟื้นคืนพระชนม์ชีพ.นอกจากนั้นผลการนำเอาดินจากโกศใบที่ 11 ของยากอบไปตรวจและสรุปว่าโกศหินใบนี้เคยตั้งอยู่ในสุสานทัลไพออตมาก่อนก็ยังไม่เคยถูกตีพิมพ์ออกมาอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นสาเหตุหลักที่นักวิชาการไม่ให้การยอมรับว่าสุสานทัลไพออตคือสุสานที่แท้จริงของพระเยซูนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการ “สั่นคลอน” ความเชื่อของคริสตจักรเรื่องพระเยซูไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์ชีพหรอกครับ แต่เป็น เพราะหลักฐานที่นำมาเสนอในสารคดีมันยังไม่หนักแน่นมากพอก็เท่านั้นเอง.โดย : นนทพัทธ์ทีมงานนิตยสาร ต่วย’ตูน