ณ บริเวณเขาสูงของดินแดนอาทิตย์อุทัย ห่างจากเมืองนารา ราชธานีเก่าไปทางตะวันออกประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเงียบสงบและสวยงาม เพราะถูกปิดกั้นจากความอึกทึกจอแจของโลกภายนอก ด้วยป่าสนใบหนาทึบจนมองลอดเข้าไปไม่ได้ แต่บริเวณสองข้างทางที่ทอดตัวสูงขึ้นสู่หมู่บ้าน ยังเหลือร่องรอยของวัฒนธรรมจากอดีต โดยจะเห็นพระพุทธรูปศิลาสลักตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เพราะครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นศาสนสถานประกอบพิธีทางศาสนาของพระสงฆ์จากวัดโตไดจิและวัดโกฟุ-กุจิมาก่อน รูปปั้นยางิว มูเนะโนริ.หมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อสี่ศตวรรษมาแล้วเป็นที่รู้จักกันดีทั่วแผ่นดินซากุระว่า “หมู่บ้านยางิว” ถิ่นกำเนิดตระกูลซามูไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดถึงสามชั่วอายุคน เริ่มตั้งแต่ยางิว มูเนะโยชิ (หรือยางิว เซคิชูไซ) ต่อด้วยยางิว มูเนะโนริ ผู้เป็นลูกไปจนถึงยางิว จูเบอิ มิตสึโยชิ ผู้เป็นหลาน ซึ่งล้วนแล้วแต่ช่ำชองในเพลงดาบ เป็นทั้งทหารเอกคู่บุญของโชกุนตระกูลโตกุงาวะมาโดยตลอด และเป็นครูดาบสำนักแรกที่ผนวกพุทธศาสนานิกายเซนเข้ากับเพลงดาบอย่างได้ผลที่สุดซึ่งวันนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะนำท่านผู้อ่านไปรับรู้ตำนานความยิ่งใหญ่ของซามูไรตระกูลยางิวกันครับ ยางิว จูเบอิ มิตสึโยชิ ต้องปิดตาข้างหนึ่งเพราะสูญเสียไปจากการฝึกดาบกับบิดา.ความยิ่งใหญ่ของตระกูลยางิวเริ่มจากกลางดึกคืนวันหนึ่งในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ณ หมู่บ้านยางิว เมื่อมูเนะโยชิ ยอดนักดาบซึ่งปกครองหมู่บ้านแห่งนี้ได้ดวลดาบกับ “ปีศาจเทงงู” ที่มีรูปร่างเหมือนคน จมูกยาว หน้าแดง มีขากับปีกคล้ายนก ชอบสิงสู่อยู่ตามขุนเขาและป่าทึบ ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือดจนปีศาจเพลี่ยงพล้ำตกเป็นเบี้ยล่าง มูเนะโยชิเงื้อดาบขึ้นฟันสุดแรงเกิดและเป็นฝ่ายชนะไปในที่สุดแต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อมูเนะโยชิย้อนกลับไปสำรวจสถานที่ต่อสู้ แทนที่จะพบร่างของปีศาจถูกฟันขาดสองท่อน เขากลับพบหินก้อนใหญ่มหึมามีรอยปริแยกตรงกลางเหมือนถูกฟันด้วยดาบคมกริบเพียงฉับเดียว เรื่องนี้เลยกลายเป็นตำนานเล่าขานจากปากต่อปาก โดยมีหลักฐานเสริมให้เป็นจริงเป็นจังจากก้อนหินปริกลางที่ยังคงอยู่ในหมู่บ้านนั่นเอง ปีศาจเทงงู.ในช่วงนั้นแผ่นดินญี่ปุ่นร้อนระอุจากสงครามกลางเมือง ที่เจ้าเมืองใหญ่น้อยทำศึกสงครามกันเองเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ครอบครองหมู่เกาะญี่ปุ่นทั้งหมด ซามูไรซึ่งเป็นชนชั้นนักรบจึงมีบทบาทสำคัญและได้รับการชุบเลี้ยงจากเจ้าเมืองต่างๆเป็นอย่างดี จากแนวทางของลัทธิบูชิโด หรือ “วิถีแห่งนักรบ” ที่บรรดาซามูไรต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติแห่งชนชั้นตนเองนั้นบังคับให้เมื่อเผชิญหน้าศัตรู นักรบมีทางเลือกเพียงสองทางคือ ชักดาบออกฟาดฟันศัตรูให้ดาวดิ้นโดยเร็ว หรือถ้าสู้ไม่ได้ก็ยอมตายอย่างไม่สะทกสะท้าน ตำราส่วนหนึ่งของสำนักยางิว.ฟังดูก็เป็นเส้นทางที่สง่างามมากนะครับแต่มนุษย์ทุกคนย่อมรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น ปัญหาจึงอยู่ที่จะเอาชนะความรู้สึกกลัวตายนี้ได้อย่างไร ซามูไรส่วนใหญ่ได้ใช้ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทั้งพุทธ ชินโต ฯลฯ รวมถึงคำสั่งสอนของเล่าจื๊อ จวงจื่อ ฯลฯ แต่การฝึกสมาธิตามลัทธิเซนออกจะสอดคล้องกับความต้องการของซามูไรมากที่สุด ช่วยให้จิตสงบขณะต่อสู้ หรือกล้าเผชิญกับความตายอย่างไม่พรั่น-พรึง เซนจึงมีอิทธิพลเหนือจิตใจซามูไรตลอดมา แต่ยางิว มูเนะโยชิ เป็นครูดาบคนแรกที่นำจิตวิญญาณของเซนไปผสมผสานกับการต่อสู้อย่างได้ผล โดยตั้งสำนักดาบยางิว ชินกาเงะ เน้นเกี่ยวกับการฝึกควบคุมจิตให้สงบควบคู่กับการฝึกฟันดาบไปด้วย ดาบจึงเป็นของสูงที่มิได้มีไว้เพื่อฆ่าศัตรูแต่เพียงอย่างเดียว ก้อนหินที่ถูกฟันผ่ากลาง.ตกมาถึงยุคของยางิว มูเนะโนริ (ค.ศ.1568-1646) ผู้มีฝีมือในเชิงดาบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นพ่อ เขาได้พัฒนาแนวการสอนของสำนักให้สูงขึ้นและลึกซึ้งขึ้นไปอีก โดยเน้นว่า “ศิลปะของการใช้ดาบจะต้องไม่ใช่เรื่องความช่ำชองในการฆ่าคนแต่ควรเป็นศิลปะแห่งการทำลายล้างสิ่งชั่วร้ายและอภิบาลคนดี” หลักการข้อนี้ถูกอกถูกใจโชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสึเป็นอันมาก จนถึงกับประกาศว่า “นโยบายปกครองประเทศของเราจะต้องดำเนินไปในแนวทางเดียวกับจิตวิญญาณของสำนักดาบยางิว ชินกาเงะ” ถึงตอนนี้ชื่อเสียงของมูเนะ-โนริดังระบือไปทั่ว หมู่บ้านยางิวกลายเป็นศูนย์กลางของซามูไรที่แห่แหนมาจากทุกสารทิศเพื่อสมัครเป็นลูก ศิษย์ของเขา ขอเรียนรู้เพลงดาบที่แฝงด้วยจิตวิญญาณของเซนรวมถึงถ้าโชคดีอาจได้รับการถ่ายทอดท่าไม้ตายซึ่งมูเนะโนริไม่ค่อยยอมสอนให้ใครง่ายๆท่านทาคุอัน เจ้าอาวาสวัดเซนซึ่งเป็นอาจารย์สั่งสอนหลักธรรมให้แก่มูเนะโนริมาโดยตลอด ตั้งแต่ยอดนักดาบอายุเพิ่งย่างเข้ายี่สิบนั้น ได้มรณภาพในปี ค.ศ.1645 ความสัมพันธ์อันแนบแน่นฉันศิษย์กับอาจารย์ที่ยาวนานกว่า 50 ปี ทำให้ชีวิตของมูเนะโนริเหมือนสูญเสียสิ่งที่ล้ำค่า หลังจากนั้นเพียงแค่สามเดือน เขาก็ตายตามอาจารย์ไปเมื่ออายุได้ 78 ปี โชกุนได้สั่งการให้จัดพิธีศพของเขายิ่งใหญ่เทียบเท่าไดเมียว (เจ้าเมือง) คนหนึ่งสำหรับยางิว จูเบอิ มิตสึโยชิ บุตรชายคนโตของมูเนะโนริก็เป็นนักดาบฝีมือล้ำเลิศเช่นกันและเป็นผู้พัฒนาแนวการสอนของสำนักดาบยางิว ชินกาเงะ ไปสู่ความสมบูรณ์สุดยอด ทุกวันนี้เรื่องราวการผจญภัยของเขาก็ยังมีปรากฏในรูปของหนังสืออ่านเล่นและหนังชุดทางโทรทัศน์เสมอๆ ท่านทาคุอัน.ในปลายยุคของโตกุงาวะตั้งแต่ ค.ศ.1860 เป็นต้นมา ตระกูลยางิวได้แตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งจงรักภักดีต่อองค์พระจักรพรรดิที่ประทับอยู่ในเกียวโต อีกฝ่ายหนึ่งเข้ากับโชกุนที่ไปตั้งศูนย์กลางปกครองอยู่ที่เมืองเอโดะ (โตเกียว) ทำให้เกิดสงครามเลือดระหว่างยางิวด้วยกันเองจนต้องประสบกับความพินาศล่มสลายในที่สุดเมื่อหลายสิบปีก่อน สถานีโทรทัศน์ในญี่ปุ่นได้เข้าไปถ่ายทำเรื่องของหมู่บ้านยางิวออกเผยแพร่ทางโทรทัศน์เป็นตอนๆยาวเกือบหนึ่งปี ปรากฏว่าเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองปลาดิบเป็นอันมาก และทำให้นักท่องเที่ยวทั้งยุ่นทั้งเทศขับรถเข้าไปเยือนถิ่นกำเนิดซามูไรเป็นขบวนยาวเหยียดทุกวันบัดนี้ ความสงบเงียบได้คืนกลับสู่หมู่บ้านยางิวอีกครั้งหนึ่ง เหลือไว้เพียงชื่อเสียงให้เป็นที่รำลึกถึงความเก่งกาจของซามูไรตระกูลยางิว และหลักฐานหินก้อนใหญ่ที่เชื่อกันว่าถูกฟันด้วยฝีดาบของมูเนะโยชิ รวมถึงซากบ้านและสุสานประจำตระกูลด้วย โชกุนโตกุงาวะ อิเอยาสึ.ตามปกติทั่วทั้งหมู่บ้านจะสงัดเงียบ มีเพียงเสียงใบสนสั่นไหวตามแรงลม แต่บางครั้งในวันอาทิตย์จะได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องตะโกนขณะซ้อมเพลงดาบอยู่ในโรงฝึก พร้อมกับความใฝ่ฝันที่จะมีฝีมือเก่งกาจเหมือนนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยถือกำเนิดและสร้างชื่อเสียงให้กับที่นี่ “หมู่บ้านยางิว”.โดย :ชาด โรดมทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน