วงการปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ หลังจากกูเกิลตัดสินใจเปิดเกมรุกใหม่ เปิดตัว Gemini 3 ด้วยแนวคิดให้ AI ทำหน้าที่เป็น “สมองกลางของระบบดิจิทัล” มากกว่าการแข่งขันเพื่อสร้างผู้ช่วยสนทนาที่ตอบคำถามได้ดี ซึ่งเป็นภาพจำของตลาดในช่วงที่ผ่านมาจุดยืนนี้ชัดเจนขึ้นเมื่อกูเกิลเร่งต่อยอดด้วยการเปิดตัว Nano Banana Pro เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยใช้พลังจาก Gemini 3 Pro ในการสร้างและแก้ไขภาพความละเอียดสูงระดับ 2K-4K พร้อมฟีเจอร์ปรับแต่งภาพลึกตั้งแต่มุมกล้อง แสง สี ไปจนถึงความสม่ำเสมอของรายละเอียด Nano Banana Pro ยังเชื่อมต่อกับบริการที่มีอยู่แล้วของกูเกิล เช่น Gemini App, NotebookLM และโหมด AI ใน Google Search ทำให้ผู้ใช้ทั่วไป นักพัฒนา และองค์กรสามารถเข้าถึงความสามารถด้านภาพได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องมือความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่ากูเกิลไม่ได้ต้องการ ให้ AI เป็นเพียง “ผู้ช่วยตอบสนอง” แต่เป็นโครงสร้างหลักที่ทำงานอยู่เบื้องหลังระบบต่างๆในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่แพลตฟอร์มข้อมูล ไปจนถึงงานสร้างเนื้อหาเชิงภาพระดับองค์กรแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก OpenAI ซึ่งยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาด AI เชิงสนทนาและ Generative โดยการอัปเดต GPT รุ่นใหม่ล่าสุด ChatGPT 5.1 กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา จุดเด่นยังคงอยู่ที่ความ เป็นธรรมชาติของภาษาและความสามารถด้านการสนทนาเหมือนมนุษย์ พร้อมระบบเลือกโหมดตอบสนอง เช่น Instant ที่เน้นความเร็ว และ Thinking ที่เน้นการวิเคราะห์เชิงลึก ChatGPT จึงยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป นักสร้างสรรค์ นักเขียน และธุรกิจที่ใช้ภาษาเป็นหัวใจ ในขณะที่ Gemini 3 พัฒนาเพื่อรับมือกับงานหลายรูปแบบพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลภาพ วิดีโอ เสียง การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ หรือการอ่านและแก้ไขโค้ดผ่านโมเดลแบบ Multimodal ซึ่งตอบโจทย์ตลาดองค์กรที่ต้องการระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบมากกว่าคำตอบที่คมคายเพียงอย่างเดียวและเมื่อกูเกิลเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Search, Android, YouTube, Gmail, Docs หรือ Maps ยิ่งทำให้ Gemini 3 สามารถแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ผู้ใช้ได้โดยไม่ต้องอาศัยพันธมิตรเหมือน OpenAI ที่ยังต้องเชื่อมต่อผ่านไมโครซอฟต์ผ่าน Windows และ Copilot ในมุมเศรษฐกิจ การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่า AI ตัวใดตอบคำถามได้แม่นยำหรือฉลาดกว่ากัน แต่คือใครสามารถเข้ามาเป็นระบบที่องค์กรพึ่งพาได้ ตั้งแต่การตรวจสอบโค้ด วิเคราะห์กล้องวงจรปิด ไปจนถึงการจัดการข้อมูลมหาศาล และทั้งสองค่ายต่างแย่งชิงพื้นที่ดังกล่าวอย่างเข้มข้นล่าสุด OpenAI ยังเปิดตัว GPT–5.1–Codex–Max โมเดลเขียนโค้ดสำหรับงานขนาดใหญ่ รองรับการทำงานหลายล้านโทเค็น เหมาะกับการรีแฟกเตอร์ ดีบัก และพัฒนาโค้ดระดับองค์กร ซึ่งตอกย้ำว่าฝั่ง OpenAI เองก็กำลังรุกพื้นที่ระบบจริงไม่แพ้กันเพียงแต่ภาพรวมการแข่งขันเริ่ม ชัดเจนว่า อนาคตของ AI จะไม่ถูกวัดด้วยคำถามว่าตอบเก่งหรือฉลาดแค่ไหน แต่จะถูกวัดด้วยคำถามว่าทำงานแทนมนุษย์ใน ระดับระบบได้มากเพียงใดและใครที่สามารถเป็นสมองของแพลตฟอร์มได้ก่อน จะเป็นผู้ครองยุคดิจิทัลยุคถัดไปอย่างแท้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม