ท่ามกลางบรรยากาศ “สงคราม” ส่งท้ายปี ได้ทำให้พวกเราตระหนักมากขึ้นว่าการศึกยังไม่หายไปไหนในโลกยุคใหม่ และก่อให้เกิด คำถามเช่นกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่าง “ชาติมหาอำนาจ” ได้ลุกลามบานปลายอย่างต่อเนื่องแน่นอนว่าสำหรับคนไทยนั้น มีความคุ้นชินกันดีกับนโยบายเชิงรุกสไตล์ “ตำรวจโลก” ของสหรัฐอเมริกา แต่อาจยังไม่เข้าใจนักกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงของมหามิตรใช่คนอื่นไกล อย่าง “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ทางทีมข่าว ต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จึงขอนำทิศทางความมั่นคงของจีนผ่านสายตาของกระทรวง สงครามสหรัฐฯ (รายงานประจำปีต่อสภาคองเกรส) มาเล่าสู่กันฟังพื้นฐานของยุทธศาสตร์ชาติจีนในปัจจุบันนี้ คือการบรรลุเป้าหมาย “การฟื้นฟูชาติจีน ครั้งใหญ่” ภายในปี 2592 ซึ่งหมายถึงการทำให้ชาติจีนมีอิทธิพล มีมนต์เสน่ห์ และมีอำนาจในการ กำหนดทิศทางของเหตุการณ์ต่างๆมากกว่าที่เป็นอยู่ จึงจำเป็นที่จีนจะต้องมี “กองทัพระดับโลก” ที่สามารถรบและชนะ ไปพร้อมๆกับการพิทักษ์อธิปไตย ความมั่นคง และผลประโยชน์ของชาติจีนโดยยืนพื้นด้วยหัวใจหลัก “3 ประการ” ที่ไม่สามารถประนีประนอมหรือเจรจาต่อรองได้ นั่นคือ 1.อำนาจพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะไม่มีทาง สั่นคลอน 2.การส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจของชาติจีน และ 3.การปกป้องอำนาจอธิปไตยและดินแดนของชาติจีน ซึ่งประการที่สามย่อมครอบคลุมถึงทะเลจีนใต้ และ “ไต้หวัน” ที่ถือเป็น เงื่อนไขสำคัญในการฟื้นฟูชาติจีน และในกรณีนี้ ยังทำให้รัฐบาลไต้หวันถือเป็นภัยคุกคามที่ไม่สามารถยอมรับได้ต่ออำนาจและความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสำหรับบทบาทของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) มีหน้าที่หลักในการสนับสนุนทางยุทธศาสตร์เพื่อให้ชาติจีนบรรลุความฝันจีนในการฟื้นฟูครั้งใหญ่ และช่วยเหลือในการสร้างอนาคตร่วมของมวลมนุษยชาติ ขณะที่นโยบายหลักของกองทัพคือ 1.การป้องปรามและต่อต้านภัยคุกคาม 2.พิทักษ์นโยบายความมั่นคงทางการเมือง ความมั่นคงประชาชนและเสถียรภาพของสังคม 3.ต่อต้านและกำหนดทิศทางเรื่องการแยกตัวเป็นเอกราชของไต้หวัน 4.พิทักษ์อธิปไตย เอกภาพ ความเป็นปึกแผ่นของดินแดนจีน 5.พิทักษ์สิทธิและผลประโยชน์การเดินเรือ 6.พิทักษ์ผลประโยชน์ความมั่นคงอวกาศ ดิจิทัล และไซเบอร์ สเปซ 7.พิทักษ์ผลประโยชน์ในต่างแดน และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศยุทธศาสตร์กองทัพจีนตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิด “การป้องกันเชิงรุก” ไม่ยึดติดอยู่ในกรอบของการป้องกันเขตแดนของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสาน รุกรับเพื่อการควบคุมสงคราม และควบคุมประสิทธิภาพ ใช้องค์รวมของอำนาจชาติจีน ทั้งหมดเพื่อกำหนดเวลา จังหวะ ขอบเขต และขนาดของความขัดแย้งในช่วงที่กำลัง เปลี่ยนผ่านจากช่วงเวลา ขอสันติภาพไปสู่ช่วงเวลาของวิกฤตการณ์จนถึงช่วงวลา ของการทำสงครามในการประชุมสมัชชาแห่งชาติ ครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังมองถึงความจำเป็นในการให้ประสิทธิภาพเป็นพื้นฐานของกองทัพ เลี่ยงสงครามหากทำได้ ทำสงครามที่เอาชนะได้ หากสงครามไม่ สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่อย่างใด กองทัพจำเป็นต้องช่วงชิงความได้เปรียบ ควบคุม การลุกลามบานปลาย พร้อมดำเนินการให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด และให้การทำสงครามใช้เวลาน้อยที่สุด กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนอยู่ระหว่างการพัฒนาความทันสมัย โดยตั้งเป้าหมายไว้ 3 เฟส กำหนดให้ในปี 2570 บรรลุเป้าหมายการพัฒนาขีดความสามารถของการเคลื่อนทัพ การข่าวกรอง และการควบคุมข้อมูล ไปพร้อมๆกับการพัฒนาทฤษฎีการรบ โครงสร้างบัญชาการและ อาวุธยุทโธปกรณ์ ตามด้วยปี 2578 เป้าหมายการ พัฒนาสิ่งที่กล่าวไปให้ยกระดับขึ้นอีกขั้น เพื่อให้ สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ ปิดท้ายด้วยเป้าหมายปี 2592 การแปรสภาพกองทัพจีนให้เป็น “กองทัพระดับโลก”และการจะบรรลุเฟสแรกในปี 2570 กองทัพจีน จะต้องพัฒนาศักยภาพทางยุทธศาสตร์ให้ได้ 3 ประการ นั่นคือ 1.การเอาชนะอย่างเด็ดขาดในเชิงยุทธศาสตร์ “จ้าน ลั่ว เจี๋ย เชิ่ง” โดยมีความสูญเสียในระดับที่ยอมรับได้ 2.การถ่วงดุลทางยุทธศาสตร์ “จ้าน ลั่ว จื้อ เหิง” ทำให้ตัวละครที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวในความขัดแย้ง เกิดความยับยั้งชั่งใจว่า จะเข้ามายุ่งเกี่ยวดีหรือไม่ และ 3.การป้องปรามและการควบคุมทางยุทธศาสตร์ “จ้าน ลั่ว เช่อ ค่ง” หรือหมายถึงการทำให้กองทัพจีนมีขีดความสามารถเพียงพอในระดับที่ไม่มีใครอยากฉวยโอกาสกระทรวงสงครามสหรัฐฯ ประเมินว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีมุมมองต่อความขัดแย้งว่า ไม่ใช่เป็นเพียงการปะทะกันระหว่างสองกองทัพ แต่เป็นการปะทะกันระหว่างระบบของสองประเทศ ที่ผสมผสานกันทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายความมั่นคง มองสงครามในยุคอนาคตว่าจะถูกกำหนดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในสนามรบ ประสิทธิภาพของการปิดล้อมทางทะเล การบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามถูกโดดเดี่ยว และการใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างครอบคลุม ซึ่งทั้งหมดเป็นการถอดบทเรียนจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนและหากเกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่ต่างฝ่ายต่างมีทรัพยากรล้นเหลือและต่างมีวิธีการทำศึกอย่างมากมาย ย่อมทำให้สงคราม ดำเนินไปในทุกระดับและทุกมิติ หรือเรียกว่าทั้งประเทศทุ่มกำลังเพื่อทำสงครามอย่างเบ็ดเสร็จ “กั๋วเจี้ย จ๋งถี่ จ้าน” National Total War แต่จุดนี้จีนมีความแตกต่างกับสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯจะมีเป้าหมายคือการทำให้ศัตรูยอมจำนนอย่างไร้เงื่อนไข ขณะที่จีนมองเป็นการทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่งกองทัพจีนยังมีบทบาทด้าน “ความร่วมมือระหว่างประเทศ” เพื่อบริหารจัดความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนหลักและขยายผลประโยชน์ทาง ยุทธศาสตร์ บ่มเพาะความสัมพันธ์กับกองทัพต่างประเทศ เพื่อยกระดับ จีนในฐานะมหาอำนาจที่มีความรับผิดชอบและช่วยผ่อนหนักเป็นเบาเวลาเกิดความท้าทายทางสถานการณ์ความมั่นคง ซึ่งในปี 2569 ที่จะถึงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องจับตา (สำหรับสหรัฐฯ) คือท่าทีของฝ่ายความมั่นคงจีนในภูมิภาคต่างๆ รวมถึง “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ที่ยังมีประเด็นทะเลจีนใต้ค้างคาอยู่ฝ่ายสหรัฐฯมองว่า “ฟิลิปปินส์” ยังคงเป็นจุดสำคัญในเรื่องนี้ เนื่องด้วยประเด็นพิพาทหมู่เกาะในเขตเศรษฐกิจ ทางทะเลที่ต่างฝ่ายต้างอ้างสิทธิ รวมถึงการที่ฟิลิปปินส์ เป็นพันธมิตร กับสหรัฐฯ เชื่อว่าจีนยังคงใช้การ กดดันทางทหารและการกดดันทางการทูตผสมผสาน เพื่ออำนาจอธิปไตยทางทะเลและดึงให้ฟิลิปปินส์ออกห่างจากสหรัฐฯ สำหรับ “เวียดนาม” ก็เช่นกัน เพียงแต่จีนจะให้น้ำหนักไปทาง ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและการทูตด้าน “มาเลเซีย” นั้น มองว่า จีนจะพยายามสร้างสมดุลผ่านกระบวนการการทูตระดับสูงและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อีกทั้งในช่วงหลายปี ที่ผ่านมาจีนได้มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสร้างบรรยากาศประนี ประนอม กระนั้น สำหรับ “กัมพูชา” ถือเป็นฐานทางยุทธศาสตร์ของจีน ในต่างแดน มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกและโลจิสติกส์ร่วมที่ฐานทัพเรือเรียม แม้ว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่าย ยังคงปฏิเสธเรื่องการส่งกำลังพลเข้าประจำการในท้ายที่สุดนี้ กระทรวงสงครามสหรัฐฯ มีความเชื่อมั่นว่า ความพยายามสร้าง “กองทัพระดับโลก” ของจีน คือความทะเยอ ทะยานที่จะเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก การเสริมสร้างพละกำลังของจีนครั้งประวัติการณ์ครั้งนี้กำลังเป็นภัยคุกคามต่อแผ่นดินและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และการที่จีนกำลังเข้าใกล้เป้าหมายพัฒนากองทัพปลดปล่อยประชาชนเฟสแรกในปี 2570 ไปอย่างต่อเนื่อง ย่อมทำให้จีนมีความคาดหมายว่า จะสามารถทำศึกและชนะ สงคราม “ไต้หวัน” ได้ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือภายในสิ้นปี 2570.ทีมข่าวต่างประเทศอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่