นับแต่การปะทะทางทหารระหว่างไทยกับกัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างประเทศอย่างต่อเนื่องแต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายสื่อใหญ่ เช่น นสพ.เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล (WSJ) ของสหรัฐฯ ด็อยท์เชอ เว็ลเลอ (DW) ของรัฐบาลเยอรมนี และองค์การกระจายเสียงสาธารณะแห่งชาติออสเตรเลีย (ABC) ได้ปรับโทนการรายงาน โดยชี้ว่าการโจมตีครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเหตุความขัดแย้งทางทหารระหว่างสองประเทศ แต่เกี่ยวพันกับ การปราบ เครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ข้ามชาติ ที่ฝังรากลึกและขยายตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายงานจากสื่อเหล่านี้ระบุว่า อาคารที่ถูกโจมตีคือกลุ่มกาสิโนและโรงแรมใกล้ชายแดน ที่ฝ่ายไทยระบุว่า เคยเป็นศูนย์หลอกลวงออนไลน์ และต่อมาถูกกองทัพกัมพูชาใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหารสำหรับโดรนและอาวุธหนัก ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธ อ้างว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางทหารหรือศูนย์สแกม แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯและองค์กรสิทธิมนุษยชนยืนยันว่าสถานที่เหล่านี้เคยถูกใช้กักขังแรงงานจากหลายประเทศที่ถูกค้ามนุษย์ และบังคับให้ทำงานหลอกลวงเหยื่อทั่วโลก รวมถึงชาวอเมริกันและยุโรปจากข้อมูลดังกล่าวทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตรเริ่มใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อธุรกิจและสถานประกอบการที่เชื่อมโยงกับศูนย์สแกม รวมถึงกาสิโนบางแห่งในพื้นที่ชายแดนกัมพูชาที่ถูกโจมตีครั้งนี้อย่างไรก็ตาม รายงานของ ABC News เตือนว่า การใช้กำลังทางทหารกับสถานที่อาจยังมีแรงงานถูกบังคับอยู่ภายใน มีความเสี่ยงสูงต่อชีวิตพลเรือน ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนระบุว่า หากมีพลเรือนหรือแรงงานถูกบังคับอยู่ในพื้นที่ขณะถูกโจมตี เหตุการณ์นี้อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่า ศูนย์สแกมข้ามชาติไม่ได้เป็นเพียงปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์อีกต่อไป แต่กลายเป็นปัจจัยด้านความมั่นคงเชื่อมโยงกับความขัดแย้งทางทหาร การเมืองระหว่าง ประเทศและสิทธิมนุษยชนอย่างแยกไม่ออก.อมรดา พงศ์อุทัยคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม