ทั่วโลกยังคงจับตาเหตุการณ์ ชุมนุมครั้งใหญ่ จาก “กลุ่มคน Gen Z ในประเทศเนปาล” ที่ลุกขึ้นมาประท้วงเผาอาคารรัฐบาล และจุดไฟเผาบ้านพักของบุคคล อาคารสำคัญในหลายจุด ทำให้เจ้าหน้าที่ออกมาปราบปรามด้วยความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 51 ราย และบาดเจ็บอย่างน้อย 2,113 รายหากย้อนดูชนวนเหตุก็จะกล่าวถึงกันอยู่ 2 ปัจจัย คือ “1.ปัจจัยสะสม” ที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ การทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้ชีวิตอย่างสุขสบายของชนชั้นนำ แต่กลับละเลยสวัสดิการ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน กลายเป็นปัญหาสะสมมานานหลายปีไม่ว่าอยู่ภายใต้การปกครองแบบใดก็ตามแถมมาบวกกับปัจจัยที่ 2...“ตัวกระตุ้น” จากกรณีรัฐบาลเนปาลปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดีย ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพการแสดงออก “กลุ่ม Gen Z จึงไม่พอใจ” โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจในกรุงกาฐมาณฑุส่วนใหญ่ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซดำเนินการโดยคนรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 30 ปี ที่จำเป็นต้องพึ่งพาโซเชียลฯในการทำมาหากินนี้เมื่อรัฐบาลปิดกั้นช่องทางเหล่านั้น “ย่อมกระทบต่อเสรีภาพ และอาชีพ” กลายเป็นชนวนให้เกิดระเบิดขึ้นมาเป็นพลังในการออกมาประท้วงครั้งใหญ่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลในเวลาต่อมา รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า จริงๆแล้วการเมืองในเนปาลเคยมีเหตุการณ์ประท้วงครั้งรุนแรงคือ “การปฏิวัติพรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมา” ที่นำไปสู่การโค่นล้มทางการเมืองแบบถอนรากถอนโคน และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองของประเทศ แต่การประท้วงคราวนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนผู้นำจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาใหม่เท่านั้นแม้ทหารจะออกมามีบทบาทก็แค่ดูแลช่วงเปลี่ยนผ่าน “ระบบสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยยังอยู่” เพียงแต่เป็นครั้งแรกของคนรุ่นใหม่ รวมพลังสั่นคลอนอำนาจชนชั้นนำจนล่มสลายทั้งรัฐมนตรี ตระกูลการเมืองต้องหลบหนีบางรายสูญเสียทรัพย์สิน ทำให้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจขึ้นมาจากกระแสความต้องการของประชาชน Gen Zแต่ถ้าเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในไทยต้องบอกว่า “มีทั้งจุดที่คล้ายและจุดแตกต่างกัน” โดยจุดที่คล้ายก็คือเยาวชนคนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามกับโครงสร้างสังคม “ในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และชนชั้นนำผูกขาดอำนาจมายาวนาน” โดยเฉพาะช่วงไม่กี่ปีมานี้คนรุ่นใหม่ในไทยต่างออกมาแสดงออกทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ดี แม้คนรุ่นใหม่ของไทยจะตื่นตัวทางการเมืองมาก “แต่การแสดงออกยังอยู่ภายใต้กรอบสถาบันทางการเมือง” ด้วยการตั้งพรรคการเมือง หรือองค์กรการเมืองต่างๆ กลายมาเป็นพื้นที่ช่องทางให้คนรุ่นใหม่ได้ต่อสู้กับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรม ผ่านกลไกรัฐสภา และระบบการเมืองที่จัดตั้งขึ้นขณะที่กรณีของเนปาล “คนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z ไม่ได้เคลื่อนไหวผ่านองค์กรการเมือง” โดยแสดงพลังผ่านภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลฯใช้เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิต และสื่อสารความคิดออกมา เมื่อรัฐบาลเนปาลสั่งบล็อก หรือปิดกั้นโซเชียลฯอย่างกะทันหันก็เหมือนเป็นการจุดชนวนให้คนรุ่นใหม่ระเบิดพลังเช่นกัน นำไปสู่การเคลื่อนไหว “ลงถนนเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่” ทำให้มีการเผชิญหน้าทางการเมืองที่รุนแรงจนนำไปสู่การขับไล่เปลี่ยนแปลง “ผู้นำในระดับรัฐบาลของเนปาล” ที่ผูกขาดอำนาจและมีอภิสิทธิ์มานานนี้เท่าที่ฟังดู “ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลฯ” ก็มีบทบาทไม่น้อยในการหนุนการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เพราะคนรุ่นใหม่ในเนปาลต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มในการทำมาหากินไม่ว่าจะขายของออนไลน์ ทำโลจิสติกส์ หรือเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ “พอรัฐบาลปิดกั้นช่องทางสื่อสารออนไลน์ทั้งแผง” ก็เหมือนเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงในทันทีทำให้ภาคธุรกิจขนาดเล็ก และอาชีพอิสระต้องหยุดชะงัก “เกิดความไม่พอใจ” ก็มีแนวโน้มสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม Gen Z ในทางอ้อมให้ออกมาเคลื่อนไหว นำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองในที่สุดถ้าหากพูดถึง “การคอร์รัปชันในเนปาล” เรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรังฝังลึกในกลุ่มชนชั้นนำสะสมอำนาจ และทรัพย์สินมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ตระกูลผู้มีอิทธิพล มักได้รับสิทธิประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม และมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา รวมถึงยังมีคุณภาพชีวิตระดับสูง ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เหตุนี้ประชาชนต้องอยู่ด้วยความลำบาก “เหมือนโลกคนละใบ” ตั้งแต่การจัดสรรทรัพยากร และโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากัน “อันเป็นปัญหาเรื้อรังในโครงสร้างของสังคม” แม้จะเปลี่ยนผ่านกี่ยุคกี่สมัยมาจนถึงยุคประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้ความเหลื่อมล้ำก็ไม่เคยหมดไปยังสะสมพอกพูนในโครงสร้างตกตะกอนมาหลายสิบปีตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า “การปฏิรูปการเมืองอย่างเดียวไม่พอที่จะแก้ความเหลื่อมล้ำ” จำเป็นต้องขยับไปถึงการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบยุติธรรม โดยเฉพาะการสร้างระบบบริหารราชการที่โปร่งใสสามารถดูตัวอย่างสิงคโปร์ที่พัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการสร้างรัฐที่มีประสิทธิภาพ และไร้ทุจริตสามารถนำมาเป็นโมเดลได้“เหตุการณ์ในเนปาลเป็นบทเรียนเตือนนักการเมืองไม่ควรผูกขาดอำนาจใช้อภิสิทธิ์เกินไปจนเกิดความเหลื่อมล้ำความไม่เป็นธรรม การทุจริต ล้วนเป็นชนวนให้คนลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่หากนักการเมืองอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ยุติธรรม มีศีลธรรม ก็เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เกิดการโค่นอำนาจได้เช่นกัน” รศ.ดร.ดุลยภาคว่าเช่นนี้กรณีของเนปาลจึงเป็นอุทาหรณ์ “ไม่ใช่แค่ไทยแต่ยังรวมถึงหลายประเทศทั่วโลก” แล้วถ้าถามว่าไทยมีโอกาสเป็นเหมือนเนปาลหรือไม่? ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะไปถึงขั้นนั้นเพราะแม้กลุ่ม Gen Z ของไทยจะมีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางสังคม และการเมืองมากขึ้นในช่วงหลัง แต่สถานการณ์ในไทยต่างกับเนปาลหลายด้านโดยเฉพาะเนปาลเป็นรัฐขนาดเล็ก “ชุมชนแน่นแฟ้น” แต่ไทยเป็นสังคมใหญ่ทั้งพื้นที่ และประชากรหลากหลายอาชีพรวมถึงมีช่องทางตามระบอบประชาธิปไตยในการเลือกตั้ง หรือการเมืองในรัฐสภาเข้าไปมีส่วนร่วมได้เว้นแต่ในอนาคตคนรุ่นใหม่จะรู้สึกว่า “องค์กรทางการเมืองไม่อาจตอบสนองความต้องการแล้ว” ก็อาจจะออกมาเคลื่อนไหวนอกระบบของรัฐสภาในการรวมตัวตามท้องถนนในประเด็นเฉพาะ “แต่สถานการณ์ก็ไม่น่าจะรุนแรงเท่ากับเนปาล” เพราะไม่มีแรงสนับสนุนจากภายนอก หรือพลังหนุนในการเปลี่ยนแปลงที่มากพอฉะนั้นโอกาสเกิดเหตุการณ์แบบเนปาล “ในไทยมีน้อยมาก” เพราะเรามีระบบการเมืองที่เปิดช่องให้เคลื่อนไหวในกรอบประชาธิปไตย และสังคมไทยก็มีโครงสร้างที่ซับซ้อนหลากหลายเกินกว่าที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะสามารถล้มรัฐบาลได้ในเวลาอันรวดเร็ว...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม