แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยปี 2494 แต่ได้มีการลงนามข้อตกลงกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในเดือน ก.ค.2518 เพื่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมช่ัวคราวและหาแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนพร้อมให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการจัดตั้งพื้นที่พักพิงสำหรับผู้เดินทางเข้ามาใหม่ ทุกวันนี้ยังมีศูนย์พักพิงชั่วคราวตามพรมแดนอยู่ 9 แห่ง ใน 4 จังหวัดคือ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรีเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพกระทรวงมหาดไทย (OCDP) มีวาระครบรอบ 50 ปีเต็ม และเพื่อสะท้อนความมีส่วนร่วมของประเทศในการแก้ปัญหา จึงได้มีการจัดนิทรรศการร่วมกับยูเอ็นเอชซีอาร์ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ให้ประชาชนเข้าชมจนถึงวันที่ 14 ก.ย.นี้ โดยมีทั้งเรื่องราวภาพถ่าย วีดิทัศน์ และผลงานศิลปะของผู้ลี้ภัยทั้งในอดีตและปัจจุบันในพิธีเปิดงานซึ่งมีตัวแทนจากประเทศต่างๆเข้าร่วมไม่ว่ามิเกลลา ฟิลแบรย์ สตอเร ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย แอนเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูต ออสเตรเลีย หรือฌ็อง โกลด ปวงเบิฟ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ต่างร่วมแสดงความยินดีที่ไทยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้พลัดถิ่น ขณะที่แทมมี ชาร์ป ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ มองว่า ความร่วมมือตลอด 50 ปี แสดงถึงความเป็นไปได้ของการที่ความมุ่งมั่นด้านมนุษยธรรมผสมผสานเข้ากับแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมไม่นานมานี้รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจให้สิทธิแก่ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาที่พำนักอยู่เป็นเวลานาน มีโอกาสในการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การประกาศนโยบายดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดจากความพยายามตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างอันทรงคุณค่าและสอดคล้องกับสถานการณ์ และยังสะท้อนว่าความเอื้ออารีย์กับวิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่สามารถดำเนินไปด้วยกันได้แทมมี ชาร์ป ยังฝากทิ้งท้ายไว้ว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยมันไม่ใช่เรื่องของการเมือง แต่เป็นเรื่องของจริยธรรม ส่วนตัวแทนจากกระทรวงมหาดไทย บอกว่าในโลกที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน ประเทศไทยขอเลือกเส้นทางแห่งความหวัง.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม