นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก หลังภัยธรรมชาติ “ไฟป่า” ที่ปกติแล้วจะแวะเวียนมาแทบทุกปี กลับสร้างความเสียหายอย่างวินาศสันตะโร ในนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกาโดยนับตั้งแต่เริ่มปะทุในวันที่ 8 ม.ค. ทางเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้พยายามจัด “กลุ่มไฟ” ด้วยรหัสโค้ดเนมไปแล้วกว่า 6 กลุ่มใหญ่ (มีทั้งเพิ่งเริ่มลาม ยังลามอยู่ และพอที่จะควบคุมได้) เพื่อการกระจายหน้าที่ระงับเหตุ และเตือนภัยประชาชนให้อพยพหนีตายหากจะพูดให้เห็นภาพมากขึ้น สถานการณ์ขณะนี้คือนครแอลเอ รัฐแคลิฟอร์เนีย กำลังถูกรุกรานด้วยไฟป่ามรณะ ทั้งจากทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ซึ่งในโซนตะวันตกถือว่ามีความรุนแรงที่สุด มีไฟกลุ่มใหญ่กลุ่มแรกคือ “ไฟพาลิเซดส์” ครอบคลุมเขตแปซิฟิก พาลิเซดส์ มาลิบู ซานตาโมนิกา เผาพื้นที่ไปมากกว่า 50,000 ไร่ เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ บ้านเรือน แมนชั่นเหล่าคนดังถูกทำลายเสียหายวอดวายพ่วงมาด้วย “กลุ่มไฟเคนเนธ” ที่ลุกลามอย่างรวดเร็วในเขตเวนทูรา และแอลเอเคาน์ตี เผาพื้นที่ไปแล้วกว่า 2,400 ไร่ ยังไม่ได้ถูกเข้าจัดการรับมือแต่อย่างใด ส่วนที่เนินเขาฮอลลีวูดฮิลส์ “กลุ่มไฟซันเซต” สร้างความเสียหายไปประมาณ 10 ไร่ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วสำหรับโซนตะวันออกของนครแอลเอ กำลังเผชิญกับ “กลุ่มไฟอีตัน” เผาทำลายพื้นที่ไปมากกว่า 34,000 ไร่ สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงในพื้นที่เมืองพาซาดีนา และหุบเขาซานเกเบรียล ส่วนโซนทิศเหนือ ยังมีอีก 2 กลุ่มคือ “กลุ่มไฟเฮิร์สต์” เผาทำลายหุบเขาซานเฟอร์นันโดกว่า 2,000 ไร่ และ “กลุ่มไฟลิเดีย” เผาทำลายอุทยานแห่งชาติแอนเจลิสกว่า 750 ไร่ แต่เจ้าหน้าที่ประกาศจบสถานการณ์ไปเรียบร้อยยังไม่มีใครตอบได้ว่าโศกนาฏกรรมธรรมชาติลงโทษจะยุติได้เมื่อไร แต่งานนี้มีข้อมูลเปิดเผยว่า ต้นกำเนิดเพลิงไม่ใช่จาก “ฟ้าผ่า” แต่เป็นปัจจัยไม่เหมาะสมที่มาผสม ผสานกันอย่างผิดเวลา 1.ช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา ได้ทำให้ต้นไม้ใบหญ้ามีความแห้งเป็นพิเศษ 2.มีกระแสลมแรงพัดผ่านพื้นที่หุบเขาทางภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียในช่วงที่อากาศแห้ง ไม่มีความชื้น ด้วยความเร็วกว่า 80-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 3.การเกื้อหนุนจากกระแสลม “ซานตาอานา” สัญญาณการเปลี่ยนฤดูในทุกๆปี ที่พัดมาจากรัฐเนวาดาทางทิศตะวันออก ซ้ำร้ายกระแสลมต่างๆที่โหมกันเข้ามา ยังส่งผลให้ทางการเอา “เฮลิคอปเตอร์” ขึ้นช่วยโปรยสารดับไฟไม่ได้ ทุกอย่างเลยแย่ลงไปเรื่อยๆอย่างไรก็ตาม การมาของไฟป่ารัฐแคลิฟอร์เนียรอบนี้ มีแนวโน้มแล้วว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่ง เพราะในช่วงไม่กี่วันหลังไฟลุกลาม ก็มีการ “ชำแหละ” เปิดโปงเรื่องราวต่างๆออกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปัญหาของหน่วยดับเพลิงท้องที่ที่ขาดบุคลากรเหมาะสม จากผลพวงของแนวคิด “ยอมรับความหลากหลายและความเท่าเทียม” ที่เรียกขานกันว่า “DEI”แนวคิดดังกล่าวที่ทางพรรครัฐบาลเดโมแครตให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้หลายปีที่ผ่านมาเกิดการจัดสรรโควตาการรับสมัครงาน มีเสียงจากคนขาวอเมริกันขึ้นให้การต่อสภาท้องถิ่นหลายต่อหลายครั้งว่า ถูกปิดประตูโอกาสทางอาชีพเป็นเวลานานแสนนาน เนื่องด้วยหน่วยดับเพลิงใน “รัฐฐานที่มั่นของเดโมแครต” รับสมัครแต่กลุ่มคนผิวสี สตรี และกลุ่ม LGBT+ พร้อมมีคลิปจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงข้ามเพศ ให้ความเห็นว่าการเป็นชายกำยำที่สามารถแบกผู้ประสบภัยออกจากที่เกิดเหตุได้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถูกถามใช่หรือไม่ เราควรถามกลับมากกว่าว่าทำไมผู้ประสบภัยถึงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ตั้งแต่แรกประการต่อมา มุมมองของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ถูกนำมาขยายผลซ้ำเติม หลังจากช่วงการหาเสียง ปีที่ผ่านมา ทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์ทิศทางการรับมือไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งจะมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นทุกปี โดยระบุว่าปัญหาหลักคือการมีน้ำให้ใช้งานอย่างเพียงพอ แต่ผลปรากฏว่าการทำเส้นทางน้ำลงมาจากทางภาคเหนือของแคลิฟอร์เนีย ติดปัญหาเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการทำลายวงจรชีวิตของปลาน้ำจืดท้องถิ่นขนาดเล็กที่เรียกว่าสเมลต์ ทำไมถึงยึดติดกับแค่เรื่องแบบนี้ ทั้งที่ความปลอดภัยของประชาชนเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า แน่นอนว่าผู้ว่าการรัฐได้ตอบโต้ในเรื่องนี้ว่าไม่เกี่ยว แต่สายตาประชาชนก็มีความคล้อยตามไปแล้ว เนื่องด้วยมีรายงานข่าวว่าบางพื้นที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องยอมถอนตัว เนื่องจากท่อน้ำดับเพลิงเหือดแห้ง ไม่มีน้ำเหลือใช้ ตามด้วยประการที่สาม เริ่มมีการปั่นกระแสกันแล้วว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาจาก “นายทุน” ด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรในรัฐแคลิฟอร์เนียแห่งหนึ่งที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัวดับเบิลยู ที่สื่อท้องถิ่นพยายามตีแผ่มาตลอดว่า ดำเนินการล็อบบี้เจรจาหลังฉากกับฝ่ายบริหารจัดการน้ำของรัฐแคลิฟอร์เนียจนสามารถครอบครองแหล่งน้ำสำรองของรัฐไว้เป็นจำนวนมาก รวมถึงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่จุน้ำจืดได้กว่า 1.23 ล้านล้านลิตร ก็ถูกบริษัทถือครองไปกว่า 50% มิหนำซ้ำยังพยายามสนับสนุนงานวิจัยต่างๆที่ “โต้แย้ง” ผลกระทบที่เกิดจากปัญหาน้ำขาดแคลนในรัฐแคลิฟอร์เนียแย่ไปกว่านั้นคือภาพของคาเรน เบสส์ นายกเทศมนตรีแอลเอ ที่ใช้วิธียืนนิ่งเงียบจะได้ไม่ต้องตอบคำถามสื่อมวลชน หรือผู้ว่าการรัฐเกวิน นิวซัม สังกัดพรรคเดโมแครต ที่เดินหนีชาวบ้าน ทำทีว่ากำลังคุยมือถือติดสายประธานาธิบดี เพื่อจะได้ไม่ต้องชี้แจงชาวบ้านที่เข้ามาร้องเรียน สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนเห็นความไม่เป็นมืออาชีพของคนจากพรรคเดโมแครตเข้าไปอีกไม่แน่ทรัมป์ที่ประกาศปาวๆว่าจะยึดคลองปานามา ยึดเกาะกรีนแลนด์ เผลอๆอาจได้โอกาสเข้ายึดรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของเดโมแครตตลอดมาก็เป็นได้ ใครจะไปรู้!?วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม