สำหรับความคืบหน้าสถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพ อิสราเอล กับกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่มฮามาส ในฉนวนกาซา ที่ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือดทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งพื้นที่ ท่ามกลางความ พยายามของประชาคมโลกที่เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่าย หยุดยิงจากวิกฤติด้านมนุษยธรรมนั้น เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าของการเจรจาหยุดยิงกันอีกครั้ง หลังจากนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกล่าวในการแถลงข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศ บอกเป็นนัยว่ากำลังดำเนินการเพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนตัวประกันอีกครั้งผู้นำอิสราเอลหลีกเลี่ยงคำถามหลังจากมีรายงาน จาก นสพ.วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ของสหรัฐฯ ระบุว่า นายเดวิด บาร์เนีย ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองมอสซาดของอิสราเอล ได้เดินทางไปพบกับเชค โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลราห์มาน อัล ทานี นายกรัฐมนตรีกาตาร์ ในฐานะเป็นคนกลางผู้ไกล่เกลี่ยคนสำคัญในการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ในกรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์เพื่อหารือถึงแนวทางในการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงเรื่องแลกเปลี่ยนตัวประกันครั้งใหม่ ซึ่งผู้นำอิสราเอลกล่าวยืนยันแต่เพียงว่าได้ให้คำแนะนำแก่ทีมเจรจาแล้วก่อนหน้านี้ในระหว่างการพักรบหยุดยิง 7 วัน ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันที่ถูกจองจำในฉนวนกาซา รวม 105 คน เป็นชาวอิสราเอล 81 คน ร่วมด้วยชาวไทย 23 คน และ ชาวฟิลิปปินส์ 1 คน ที่มีการเจรจาแยกต่างหาก ส่วนทางอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษความมั่นคงชาวปาเลสไตน์ 240 คน ส่วนใหญ่เป็นสตรีและผู้เยาว์ เชื่อว่ายังมีตัวประกันอีกราว 129 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในฉนวน กาซา นอกจากนี้กองทัพอิสราเอลสามารถเก็บกู้ศพของตัวประกัน 8 ราย มาได้ แต่ก็ยังปฏิบัติการผิดพลาด ยิงตัวประกันชายชาวอิสราเอลในกาซาจนเสียชีวิต 3 ศพอย่างไรก็ตาม ในการแถลงข่าวทั่วประเทศ ผู้นำอิสราเอลยังประกาศให้เครดิตการโจมตีอย่างหนักของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซาที่ช่วยทำให้บรรลุ ข้อตกลงปล่อยตัวประกันบางส่วน หากปราศจากสิ่งนี้ ก็จะไม่ได้อะไรเกิดขึ้น พร้อมยังให้คำมั่นว่ากองทัพอิสราเอลจะเดินหน้าถล่มเพื่อกดดันกลุ่มฮามาสต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายมีชัยชนะในการรบครั้งนี้ ไม่ว่าจะถูกนานาชาติกดดันมากเพียงใดหรือต้องใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายสูงเท่าใดก็ตาม เนทันยาฮูยังย้ำว่าอิสราเอลจะทำลายกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก และอยู่ภายใต้การดูแลด้านความมั่นคงของอิสราเอลกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเผยว่าจนถึงขณะนี้ มีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารไปแล้วเกือบ 19,000 ราย ขณะที่ประชาชนพลัดถิ่น ราว 2.3 ล้านคน ที่ต้องอาศัยอยู่ในเต็นท์และที่พักพิงชั่วคราวโดยไม่มีอาหารและน้ำสะอาด ชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งเป็นวิกฤติด้านมนุษยธรรมครั้งรุนแรง.อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม