เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายพันธมิตรต่อต้านจีนของสหรัฐฯ ได้ถูกยกระดับอย่างเป็นทางการ หลังผู้นำสหรัฐฯจัดการประชุมสุดยอด “ไตรภาคี” 3 ประเทศ ร่วมกับผู้นำอังกฤษและออสเตรเลียเพื่อเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงความร่วมมือทางความมั่นคง “ออกัส” (AUKUS) ซึ่งมาจากชื่อย่อของทั้งสามประเทศ ออสเตรเลีย-AU อังกฤษ-UK และสหรัฐฯ-US และได้มีการจดปากกากันไว้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.2564 มีหัวใจหลักคือการถ่ายทอดเทคโนโลยีเรือดำน้ำนิวเคลียร์แก่ออสเตรเลียโดยสหรัฐฯจะขายเรือดำน้ำจู่โจมพลังงานนิวเคลียร์คลาส “เวอร์จิเนีย” แก่กองทัพเรือออสเตรเลียเป็นจำนวน 3 ลำ และเปิดทางเลือกให้ซื้อเพิ่มได้อีก 2 ลำหากออสเตรเลียเล็งเห็นความจำเป็น จากนั้นทั้งสามประเทศก็จะร่วมมือกันต่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์รุ่นใหม่ ชื่อรหัสว่า SSN-AUKUS ให้อังกฤษและออสเตรเลียเป็นผู้ดำเนินการต่อเรือ สหรัฐฯเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการต่อเรือดำน้ำรุ่นใหม่คาดใช้งบประมาณกว่า 245,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 8.08 ล้านล้านบาท ขณะที่ราคาต้นทุนเรือดำน้ำชั้นเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณลำละ 3,450 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 113,850 ล้านบาทต่อลำ หากซื้อเต็มออปชัน 5 ลำ ก็จะใช้งบกว่า 569,250 ล้านบาท แต่ทั้งหมดนี้มีการย้ำชัดเจนว่าจะไม่มี “อาวุธนิวเคลียร์” เข้ามาข้องเกี่ยวแต่อย่างใดเป้าประสงค์ของข้อตกลงออกัสระบุว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีเรือดำน้ำแก่ออสเตรเลีย และการต่อเรือดำน้ำรุ่นใหม่จะเพิ่มขีดความสามารถในการพิทักษ์เสรีภาพทางทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกและป้องปรามการเกิด “สงคราม” ในอนาคต ซึ่งเป็นถ้อยคำหลวมๆ และหลีกเลี่ยงการตีตราว่า “จะเอาไปต่อสู้กับใคร” แต่แน่นอนว่า หากไปถามนักการเมืองของแต่ละประเทศ คำตอบมันก็ชัดเจนว่าต้องการรับมือกับการขยายอิทธิพลทางการทหารของ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” และไม่แปลกที่หลังแถลงการณ์ร่วมของผู้นำไบเดน-ซูแน็ก-อัลบาเนซี รัฐบาลจีนจึงกล่าวเตือนว่าชาติตะวันตกกำลังเดินทางผิดเพราะสำหรับรัฐบาลสหรัฐฯแล้ว กำลังมองจีน ณ เพลานี้ว่า เป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จำเป็นที่จะต้องมีเครือข่ายพันธมิตรไว้ต่อต้าน ซึ่งข้อตกลงออกัสถือเป็นสัญลักษณ์ในการแสดงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกว่าจะไม่ยอมถอยเคยมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสหรัฐฯให้ความเห็นว่า ข้อตกลงออกัสที่เอาเข้าจริงแล้วไม่ต่างกับการ “หักหลัง” รัฐบาลฝรั่งเศส (ที่ได้สัมปทานต่อเรือดำน้ำให้ออสเตรเลียแต่ต้องมาถูกสหรัฐฯ-อังกฤษแย่งไป) เปรียบเสมือนการแสดงให้โลกเห็นว่า แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กัน มายาวนานเพียงใด สหรัฐฯก็พร้อมที่จะแสดงความเหี้ยมโหด หากเล็งเห็นว่าจำเป็นขณะที่รัฐบาลอังกฤษถึงจะไม่ได้มีอิทธิพลในภูมิภาคแปซิฟิกเหมือนในอดีต แต่ก็มองว่าสถานการณ์ความมั่นคงยุโรปไม่สามารถแยกจากกันได้กับสถานการณ์ความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก และข้อตกลงออกัสก็เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญในการรื้อฟื้นบทบาทของอังกฤษในเวทีโลก ตามสโลแกนใหม่ “โกลบอล บริเทน” ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลรัสเซียกำลังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลจีนมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมขนานนามรัฐบาลจีนว่า เป็นความท้าทายที่จะมากำหนดยุคสมัยหลังจากนี้ ส่วนรัฐบาลออสเตรเลียก็เห็นในทางเดียวกันว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กองทัพจีนกำลังสะสมกองเรือจนอาจกลายเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก พ่วงมาด้วยท่าทีคุกคามที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้ หรือการใช้กำลังทางทหารคุกคามในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน รัฐบาลออสเตรเลียมีความต้องการที่จะสร้าง “ความมั่นคงร่วม” ในภูมิภาค พร้อมหวังที่จะเชิญชวนประเทศต่างๆรวมถึงประเทศไทยเข้ามาร่วมสร้างสันติภาพอย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ความมั่นคงบางส่วนมองด้วยว่า ข้อตกลงออกัสจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทางการทหาร และเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาคหรือไม่ เพราะกรณีนี้ย่อมหมายถึงการบีบให้จีนตอบสนองด้วยการอัดฉีดงบประมาณทางทหารและเร่งการกระชับสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ซึ่งอาจหมายถึงการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายเหมือนกับในสมัย “สงครามเย็น”เช่นเดียวกับสื่อออสเตรเลียบางส่วนที่วิจารณ์ว่า จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย การยกระดับขีดความสามารถทางทะเลของออสเตรเลียมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองเสรีภาพการเดินเรือและปกป้องเส้นทางการค้าในมหาสมุทร ตีความได้ว่าค้าขายมากที่สุดกับจีนแต่ก็ต้องป้องกันภัยคุกคามจากจีนหรืออะไร และออสเตรเลียที่ไม่มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยี ความมั่นคงนิวเคลียร์ก็จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯไปตลอดหลังจากนี้หรือไม่ส่วนนายพอล คีทติง อดีตนายกรัฐมนตรี ออสเตรเลีย ยังให้ความเห็นด้วยว่า ไม่มีใคร ที่จะคุกคามสหรัฐฯได้เลย ชายฝั่งจีนกับชายฝั่งแคลิฟอร์เนียสหรัฐฯห่างกันกว่า 10,000 กิโลเมตร สหรัฐฯมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งที่สุดในโลก แต่ “บาป” เพียงอย่างเดียวของ จีนคือกล้าดีมาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ใหญ่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และคุกคามความ เป็น “เจ้าโลก” ของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย.วีรพจน์ อินทรพันธ์