วันที่ 1 ก.พ.2564 กองทัพเมียนมา “ทัดมาดอว์” ดำเนินการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนของนางอองซาน ซูจี พร้อมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้การบริหารของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่ายมาวันนี้เวลาผ่านไปแล้ว 2 ปี ที่บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาประจำประเทศไทย ถนนสาทร กรุงเทพฯ กลุ่มชาวเมียนมาในประเทศไทยกว่า 1,000 คน ได้จัดกิจกรรมชุมนุมใหญ่ ประณามรัฐบาลทหารเมียนมาฐานเข่นฆ่าประชาชน ทำให้ประเทศกลับสู่ยุคมืดพร้อมยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวต่อต้านต่อไป เชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่ประชาชนจะ “ยึดอำนาจคืน” จาก พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้สำเร็จ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตีตัวออกห่าง ยุติความสัมพันธ์และความร่วมมือใดๆ และขอให้ประชาคมเพิ่มมาตรการกดดันรัฐบาลทหารเมียนมา เร่งคืนอำนาจให้กับประชาชนนับเป็นแถลงการณ์ที่สอดคล้องกับท่าทีของบรรดาชาติตะวันตกเช่นกัน โดยช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ได้ยินเสียงเรียกร้องในลักษณะนี้จากคณะการทูตต่างชาติในประเทศไทย หลายท่านแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านและสมาชิกอาเซียนที่มีความสัมพันธ์อันยาวนานและ “ส่วนตัว” กับเมียนมาจะช่วยเจรจาหรือกดดันเพิ่มเติมอีกทั้งบางคนยังดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดเวลาสนทนากันถึงเรื่องเสาหลักความมั่นคงประชาคมอาเซียน ว่าด้วยการ “ไม่แทรกแซง” กิจการภายในของกันและกันแน่นอนว่าความกังวลเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากคุณค่าและภาพลักษณ์ของเมืองฝรั่งในเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ซึ่งเมียนมามีปัญหา “ไม่ได้มาตรฐานตะวันตก” มาอย่างต่อเนื่อง พ่วงด้วยสถานการณ์ภาพรวมในเมียนมาที่นับวันส่อเค้าจะเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ฝั่งไทยประสบพบเจอคือการปะทะกันริมชายแดน ชาวบ้านอพยพหนีความรุนแรงข้ามพรมแดน ไปจนถึงเหตุเครื่องบินรบเมียนมา ล่วงล้ำน่านฟ้าไทย อย่างไรก็ตาม การประเมินของกลุ่มเฝ้าระวังความขัดแย้ง “แอคเล็ด” ที่ทำงานร่วมกับสหภาพยุโรป รวมถึงการประเมินของสหประชาชาติระบุว่า จากการปิดกั้นข่าวสาร การควบคุมสื่อในเมียนมาทำให้ต้องมีการปะติดปะต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่กระจัด กระจายในภูมิภาคต่างๆ อย่างตัวเลขผู้เสียชีวิตจากความขัดแย้งก็มีข้อมูลจนถึงเดือน “ม.ค.2565” ว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 12,621 ศพ และนี่เข้าสู่เดือน ก.พ.2566 แล้ว ไม่ทราบว่ายอดที่แท้จริงจะเป็นเช่นไรไม่รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการโหมโฆษณาชวนเชื่อและการปล่อยข่าวตอบโต้กันทางออนไลน์ระหว่างรัฐบาลเมียนมากับขั้วขัดแย้งกลุ่มต่างๆ ยิ่งทำให้การกลั่นกรองข้อมูลเป็นไปได้ยากยิ่ง ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศก็ต้องพึ่งคำให้การจากชาวบ้าน เรื่องเล่าที่บอกต่อๆกันมา หรือข้อมูลจากกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความขัดแย้งมานานกับกองทัพทัดมาดอว์จึงเป็นคำถามว่า สถานการณ์ในเมียนมา ณ เพลานี้ จริงๆแล้วเป็นเช่นไร และคำตอบก็จะเป็นเชิงคำถามกลับว่า ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่ไหน ถ้าเป็นพื้นที่ของกองกำลังติดอาวุธหรือกองทัพกลุ่มชาติพันธุ์มีความแน่นอนว่ากำลังรบพุ่งกันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อตกลงสันติภาพ หรือกระบวนการเจรจาต่างๆถือว่ามลายหายสิ้นมีรายงานทหารเมียนมาถูกซุ่มโจมตีตามด้วยการยกกำลังกลับมาล้างแค้นเอาคืน ซึ่งแน่นอนว่าหลายต่อหลายครั้งจะมีผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ อย่างกรณีเหตุสลดในรัฐกะยา ติดกับ จ.แม่ฮ่องสอน ขบวนรถชาวบ้านถูกเรียกหยุดตรวจและเผาทำลาย มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หรือเหตุเผาหมู่บ้านในสะกาย ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือหรือเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เมืองเลเยโกน ทางภาคกลาง มีพยานชาวเมียนมาที่ทำงานฝั่งไทยบอกเล่าว่า หมู่บ้านถูกโจมตีด้วยเฮลิคอปเตอร์จู่โจม มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งรวมเด็กเล็ก ซึ่งคำชี้แจงของกองทัพเมียนมาคือ ชุดลาดตระเวนถูกยิงด้วยอาวุธจากอาคารแห่งหนึ่งในเมือง เจ้าหน้าที่จึงออกปฏิบัติการไล่ล่านอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องกลุ่มผู้ประท้วงอย่างนักศึกษาหรือบุคลากรการแพทย์ ผันตัวเป็นกองกำลังติดอาวุธกลุ่มต่างๆและได้รับการฝึกฝนจากบรรดานักรบอาชีพของกองกำลังชาติพันธุ์ สำนักข่าวบีบีซีรายงานเรื่องราวของหญิงสาววัย 18 ปี นามว่าเฮร่า (นามแฝง) ที่เล่าว่าเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารขณะกำลังเรียนมัธยมปลาย แต่ตัดสินใจเข้าร่วมกองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับกองทัพเมียนมา หลังเกิดเหตุแกนนำนักศึกษาชื่อดังถูกยิงเสียชีวิต ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่กองกำลังติดอาวุธประจำการอยู่ในพื้นที่ภาคกลางของเมียนมา ขณะที่ชายหนุ่มอีกรายเผยชื่อเพียงนาการ์เล่าว่า พวกตนปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง มุ่งเป้าโจมตีสถานีตำรวจหรือจุดที่การป้องกันหละหลวม วางระเบิดเสาสัญญาณ และยึดอาวุธจากทางการมาใช้แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องราวที่กระท่อน กระแท่น แต่ก็เป็นเครื่องยืนยันระดับหนึ่งว่า ความรุนแรงได้ “เกิดขึ้น” และยังไม่มีท่าทีจะจบสิ้น เนื่องจากไม่มีสัญญาณใดๆว่าต่างฝ่าย พยายามที่จะเจรจาในลักษณะ “พบกันครึ่งทาง” ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกเลยที่จะมีคอมเมนต์จากมิเชล บาเชเล ฝ่ายสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ว่า สถานการณ์ในเมียนมาควรเรียกได้แล้วว่าเป็น “สงครามกลางเมือง”.วีรพจน์ อินทรพันธ์