ขอแสดงความอาลัยต่อการจากไปด้วยโรคโควิด-19 ของพลเอกโคลิน พาวเวลล์ วัย 84 ปี ทันทีที่จบชั้นมัธยม พาวเวลล์เข้าเรียนธรณีวิทยาที่วิทยาลัยนครนิวยอร์ก แล้วก็ไปร่วมกับหน่วยฝึกกำลังพลสำรอง รัฐจอร์เจียที่เข้ารับการฝึกพื้นฐานทางทหารเมื่อ พ.ศ.2501 มีการเหยียดผิวรุนแรง ทั้งที่พาวเวลล์ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในร้านอาหารและผับบาร์หลายครั้งและไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อย แต่พาวเวลล์ก็ยังสร้างตัวเองจนเป็นประธานคณะเสนาธิการร่วม ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดทางการทหารของสหรัฐฯเมื่ออายุเพียง 52 ปีตอนที่พาวเวลล์เป็นประธานคณะเสนาธิการร่วม อิรักกล่าวหาว่าคูเวตผลิตน้ำมันเกินโควตาที่กำหนดที่ให้ไว้กับโอเปก ทำให้ราคาน้ำมันลด กระทบต่อรายได้ของอิรักที่กำลังต้องใช้เงินมาบูรณะหลังสงครามอิรัก-อิหร่าน (พ.ศ.2523-2531)อิรักยังกล่าวหาว่าคูเวตลักลอบขุดเจาะน้ำมันในเขตทุ่งรูไมลา ซัดดัมจึงสั่งให้บุกคูเวตเมื่อ 2 สิงหาคม 2533 การบุกคูเวตทำให้การผลิตน้ำมันลดลงวันละ 4 ล้านบาร์เรล กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สหรัฐฯจึงเหี้ยนกระหือรือที่จะลุยอิรัก พาวเวลล์เป็นผู้ให้สติว่า หากยังมีวิธีการแก้ไขทางการทูต การเจรจาทางการเมือง หรือวิธีการทางเศรษฐกิจ สหรัฐฯไม่ควรรีบร้อนใช้กำลังทหาร หากตัดสินใจใช้กำลังแล้ว ก็ต้องระดมกำลังเพื่อเอาชนะศัตรูให้ได้ไวและเสียเลือดเนื้อของฝ่ายตนให้น้อยที่สุด รวมทั้งต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนคนเสียภาษี คำพูดของพาวเวลล์ได้รับการขนานนามว่านี่คือ The Powell Doctrine หรือหลักการพาวเวลล์สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้นระหว่าง 15 มกราคม -3 มีนาคม 2534 เป็นช่วงที่พาวเวลล์เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม สงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของอิรักหมดยุคของบุชผู้พ่อ คลินตันแห่งพรรคเด็มโมแครตขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 42 พาวเวลล์ไม่เห็นด้วยกับคลินตันเรื่องนโยบายยอมให้เกย์เป็นทหาร รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับนโยบายส่งกองกำลังไปร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในต่างแดน พาวเวลล์จึงลาออกจากกองทัพเมื่อ พ.ศ.2536 ประกาศตัวเป็นสมาชิกพรรคริพับลิกัน พ.ศ.2538 และได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของบุชผู้ลูกเมื่อ พ.ศ.2543ไม่เคยมีผู้นำระดับสูงของสหรัฐฯคนไหนกล้ายอมรับว่า สหรัฐฯก่อเรื่องเท็จเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเล่นงานศัตรู แม้การสารภาพจะเกิดหลังจากที่พาวเวลล์ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นประโยชน์ สิ่งที่พาวเวลล์สารภาพก็คือ ข่าวกรองที่สหรัฐฯกล่าวหาว่าอิรักครอบครองอาวุธเคมีชีวภาพที่มีอานุภาพทำลายร้ายแรงนั้น เป็น ‘รายงานผิด’ตอนที่สหรัฐฯกล่าวหา อิรักปฏิเสธเสียงแข็ง สหรัฐฯจึงนำปัญหานี้เข้าสู่การพิจารณาของสหประชาชาติ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติที่ 1141 ส่งคณะผู้ตรวจสอบอาวุธโดยให้ฮันส์ บริกซ์เป็นหัวหน้า ซึ่งซัดดัมก็ยอมให้บริกซ์และคณะเข้าไปตรวจ จะเข้าไปกี่ครั้ง ซัดดัมก็อำนวยความสะดวกให้ทั้งหมดผลการตรวจของบริกซ์และคณะไม่พบอาวุธร้ายแรง แต่สหรัฐฯในยุคที่บุชผู้ลูกเป็นประธานาธิบดีและพาวเวลล์เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ยังยืนยันว่าอิรักมีอาวุธร้ายแรง และบอกว่าสหประชาชาติจะต้องร่วมกันโจมตีอิรัก แต่ฝรั่งเศสซึ่งเป็นสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงฯ แสดงเจตจำนงว่าจะใช้สิทธิยับยั้ง รวมทั้งมีสมาชิกอีกหลายชาติไม่เห็นด้วยบุชจึงเปลี่ยนข้อหาโดยบอกกับประชาคมโลกว่า อิรักเกี่ยวดองหนองยุ่งกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์และละเมิดสิทธิมนุษยชน ชาวอเมริกันและผู้คนอีกหลายประเทศออกมาประท้วงและคัดค้านการทำสงคราม บุชงงอยู่พักหนึ่งว่าจะเล่นงานซัดดัมได้ยังไง สุดท้ายสหรัฐฯก็ยื่นคำขาดให้ซัดดัมและลูกชาย 2 คนออกจากอิรักภายใน 48 ชั่วโมงเมื่อซัดดัมและลูกไม่ปฏิบัติตาม บุชจึงสั่งให้กองทัพสหรัฐฯโจมตีอิรักเมื่อ 20 มีนาคม 2546 ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริง ข้อหาที่สหรัฐฯโจมตีอิรักก็คือ ซัดดัมไม่ปฏิบัติตามสหรัฐฯเรื่องการออกนอกประเทศขอบคุณพาวเวลล์ที่ดึงหน้ากากของสหรัฐฯจนหลุด.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com