เหตุกราดยิงสังหารหมู่ 2 ครั้งซ้อนห่างกันแค่ 13 ชั่วโมง ที่ห้างวอลมาร์ต เมืองเอล ปาโซ รัฐเท็กซัส และที่หน้าบาร์ เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ ในสหรัฐฯ เมื่อ 3-4 ส.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตรวม 31 ศพ บาดเจ็บกว่า 50 คน นอกจากจะจุดกระแสกดดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวดอีกระลอกแล้ว ยังทำให้ชาวอเมริกันตื่นกลัวมหันตภัยจาก “การก่อการร้ายภายในประเทศ” (Dometic Terrorism) ด้วยแพทริก ครูเซียส วัย 21 ปี มือปืนที่ใช้ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติกราดยิงที่เอล ปาโซ มีผู้เสียชีวิต 22 คน ก่อนถูกจับได้ทันควัน ถูกระบุว่าเป็นพวกผิวขาวขวาสุดโต่ง ซึ่งเชิดชูคนผิวขาวว่าเป็นชาติพันธุ์ที่เหนือกว่าคนสีผิวอื่นๆ เพราะก่อนก่อเหตุแค่ 20 นาที เขาโพสต์ข้อความลงกระดานข่าวออนไลน์ “8chan” ของพวกผิวขาวสุดโต่ง ระบุว่าตนจะลงมือโจมตีเพื่อตอบโต้พวกละตินอเมริกา (ฮิสแปนิก) ที่บุกรุกรัฐเท็กซัสส่วนคอนเนอร์ เบตส์ วัย 24 ปี ผู้กราดยิงที่เดย์ตัน มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ รวมทั้งน้องสาววัย 22 ปีของเขาเอง ก่อนถูกตำรวจยิงตาย แม้ตำรวจยังไม่ระบุแรงจูงใจแน่ชัด แต่มีรายงานว่าเขาเป็นพวกผิวขาวซ้ายสุดโต่งมือปืนทั้ง 2 คน ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ เช่น “กองกำลังรัฐอิสลาม” (ไอเอส) หรือ “อัล เคดา” ดังที่เคยเป็นมา แต่เป็นคนอเมริกันเองที่บ่มเพาะแนวคิดเกลียดชังบางอย่างขึ้นในจิตใจและลงมือโจมตีภายในประเทศของตนเอง ที่เรียกว่า “ผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ” (Domestic Terrorists)ในช่วงปีหลังๆ เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์กฎหมายของสหรัฐฯ ต้องรับมือกับคดีก่อการร้ายภายในประเทศจากฝีมือพวกผิวขาวสุดโต่งหรือพวกที่มีแนวคิดสุดโต่งอื่นๆ มากกว่าคดีก่อการร้ายที่โยงใยกับกลุ่มก่อการร้ายต่างชาติอย่างมาก โดยช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีที่แล้ว “สำนักงานสอบสวนกลาง” (เอฟบีไอ) จับกุมผู้ก่อการร้ายภายในประเทศกว่า 90 ราย และเปิดการสอบสวนคดีก่อการร้ายภายในประเทศอีกหลายร้อยคดี ให้กำลังใจ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จับมือนายเกร็ก อัลเลน ผู้บัญชาการตำรวจเมืองเอล ปาโซ รัฐเท็กซัส เมื่อ 7 ส.ค. ขณะลงพื้นที่เกิดเหตุกราดยิงสังหารหมู่ 2 ครั้งซ้อนที่เอล ปาโซ และที่เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ (เอพี)ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็รู้เรื่องนี้ดี โดยหลังเหตุโจมตี 2 ครั้งล่าสุด เขารีบประณามลัทธิเกลียดชังและพวกผิวขาวสุดโต่ง แม้ตัวเองถูกโจมตีว่าคำพูดเหยียดผิวและต่อต้านผู้อพยพของเขาเองบ่อยครั้งนั้นช่วยโหมกระพือไฟแห่งความแตกแยกเกลียดชัง มีส่วนทำให้คดีสังหารหมู่โดยพวกผิวขาวสุดโต่งเพิ่มขึ้น ซึ่งเขาปฏิเสธทรัมป์ยังเผยว่า ตนได้สั่งให้กระทรวงยุติธรรมกับสำนักงานพิทักษ์กฎหมายต่างๆ รวมทั้งบริษัทเทคโนโลยีผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย เช่น “เฟซบุ๊ก” และ “ทวิตเตอร์” ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือสืบค้น แกะรอย ตรวจจับ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกผู้ก่อการร้ายภายในประเทศที่ว่านี้ลงมือโจมตีได้แต่เรื่องนี้ “พูดง่ายแต่ทำยาก” เพราะแค่จะระบุว่าใครมีแผนก่อการร้าย หรือจะแยกแยะว่าใครเป็นผู้ก่อการร้ายภายในประเทศหรือผู้ก่อการร้ายสากลก็ทำได้ยากอยู่แล้ว นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ รวมทั้งเอฟบีไอ ก็มีเครื่องมือและอำนาจต่อสู้ผู้ก่อการร้ายภายในประเทศน้อยกว่าเครื่องมือและอำนาจที่ใช้สู้กับผู้ก่อการร้ายสากลอย่างมากหลังกลุ่มผู้ก่อการร้าย “อัล เคดา” 19 คน จี้เครื่องบิน 4 ลำบินเข้าไปก่อวินาศกรรมสะท้านโลก “9/11” ในสหรัฐฯ เมื่อ 11 ก.ย.2544 มีผู้เสียชีวิต เกือบ 3,000 คน สำนักงานข่าวกรองและพิทักษ์กฎหมาย รวมทั้งเอฟบีไอก็ปฏิรูปตัวเองครั้งใหญ่เพื่อมุ่งเน้นต่อสู้การก่อการร้ายสากล โดยได้รับอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีสิทธิขอหมายศาลเพื่อสอดแนมผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้ายสากลหรือเป็นสายลับของต่างชาติได้อย่างลับๆส่วนกฎหมายอาญาของสหรัฐฯก็ระบุว่า ผู้ใดที่ “ให้การสนับสนุนทางวัตถุ” ต่อองค์กรก่อการร้ายสากล เช่นไอเอส หรืออัล เคดา ก็มีความผิดทางอาญา แม้ไม่ได้ลงมือโจมตีด้วยตัวเอง แต่อำนาจและกฎหมายเหล่านี้ไม่สามารถใช้กับพวกผิวขาวสุดโต่งหรือพวกหัวรุนแรงอื่นๆ ที่ยังไม่ลงมือโจมตีได้ เพราะแค่ผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกหรือสนับสนุนกลุ่มผิวขาวสุดโต่ง ยังไม่ถือว่าทำผิดกฎหมายอาญาแต่อย่างใดสหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่เคารพสิทธิส่วนบุคคลและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสูงมาก ดังนั้น แค่ใครโพสต์ข้อความทางออนไลน์ว่าอยากทำอะไร เกลียดชังใคร แต่ยังไม่ลงมือก่อคดีอาญา เอฟบีไอก็ไม่สามารถจับกุมสอบสวนได้ เพราะถ้าจะสอบสวนคนที่พูดเช่นนี้คงมีเยอะแยะรับมือไม่หวาดไม่ไหวแน่ ประท้วงทรัมป์ ฝูงชนชุมนุมที่หน้าโรงพยาบาลในเมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ เมื่อ 7 ส.ค. ประท้วงการมาเยือนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเกิดเหตุกราดยิงสังหารหมู่ 2 ครั้งซ้อน ในเวลาห่างกันแค่ 13 ชม. มีผู้เสียชีวิตรวม 31 คน บาดเจ็บกว่า 50 คน ซึ่งทรัมป์ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนทำให้คดีกราดยิงสังหารหมู่เพิ่มขึ้น (เอพี)อย่างดีที่เอฟบีไอทำได้ก็คือใช้กฎหมายอื่นๆ ที่มีอยู่ เช่น กฎหมายว่าด้วยอาวุธปืนหรือว่าด้วยอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง ในการแกะรอย ตรวจจับ และสอบสวนพวกผิวขาวสุดโต่งที่มีแนวโน้มจะก่อการร้ายพวกผิวขาวสุดโต่งหรือพวกหัวรุนแรงอื่นๆ ส่วนใหญ่ ยังคิดเองทำเอง ลงมือโดยลำพังไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้ายใดๆ หลายคนไม่เคยมีประวัติอาชญากร และแม้บางคนจะเปิดเผยว่าจะโจมตีอย่างโจ่งแจ้ง แต่มักเปิดเผยก่อนลงมือไม่นานนัก การแกะรอย ตรวจจับและยับยั้งจึงทำได้ไม่ทันกาลเมื่อมีอาวุธปืนร้ายแรงเกลื่อนประเทศ เพราะซื้อหาครอบครองได้ง่าย ผนวกกับมีผู้ก่อการร้ายภายในประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ สังคมอเมริกันจึงอันตรายและน่ากลัวขึ้นทุกวัน !บวร โทศรีแก้ว