อังคารที่ผ่านมา ผมรับใช้เรื่องสหรัฐฯกร่างในอาเซียน โดยเขียนถึงตอนที่ทรัมป์ยังไม่เป็นประธานาธิบดี โอบามาและเดโมแครตส่งเสริมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก Trans-Pacific Partnership หรือ TPP ทีพีพี และดูเหมือนว่าในช่วงที่โอบามาเป็นประธานาธิบดีมี 4 ประเทศที่เป็นทั้งสมาชิกทีพีพีและอาเซียนในเวลาเดียวกันคือ บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ประเทศพวกนี้ให้ความสำคัญกับทีพีพีมากกว่าอาเซียนจีนต่อสู้กับทีพีพีที่นำโดยสหรัฐฯ โดยจีนใช้ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาคหรือ Regional Comprehensive Economic Partnership ที่เราเรียกกันย่อๆว่า RCEP อาร์เซ็ป ที่เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศกับคู่ภาคี 6 ประเทศคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่บางคนเรียกว่า อาเซียน+6ผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2558 ที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียนายนาจิบ ราซัค ตอนนั้นแกเป็นประธานอาเซียน แกนำมาเลเซียไปตั้งความหวังอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูกับทีพีพี ของสหรัฐฯ โดยแกมองว่าทีพีพีที่นำโดยสหรัฐฯมีสมาชิก 12 ประเทศ มีจีดีพีรวม 28.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากถึงขนาดร้อยละ 38 ของจีดีพีโลก มีผลิตผลทางเศรษฐกิจสูงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือ 1,095 ล้านล้านบาทส่วนอาร์เซ็ปมีจีดีพีรวมกันแค่ 21.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ 28 ของโลก และมีมูลค่าการค้ารวมกัน 10.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ 29 ของการค้าโลกนายนาจิบ ราซัค ประธานอาเซียนตอนนั้น เป็นคนบอกเลื่อนการทำความตกลงอาร์เซ็ปและลงนามรับรองสัตยาบัน 16 ประเทศ ผมคิดว่าตอนนั้นนายนาจิบ ราซัค ต้องการเอาใจสหรัฐฯซึ่งถ้าไม่เลื่อนก็จะมีการบรรจุการเจรจาในปลาย พ.ศ.2558 หรืออย่างช้าที่สุดก็ พ.ศ.2559 และถ้าไม่เลื่อน ป่านนี้เราก็คงลงนามสัตยาบันกันทั้ง 16 ประเทศเรียบร้อยไปแล้ว ป่านนี้เศรษฐกิจของภูมิภาคของเราก็คงพุ่งกระฉูดส่งตูดจัมโบ้ ไม่หงอยเหงาเศร้าสร้อยอย่างนี้ดอกครับเรื่องเลื่อนอาร์เซ็ปนี่ทำให้จีนสะเทือน พอถึงทุกวันนี้ ผมก็สะใจนะครับ เพราะนายนาจิบ ราซัคไอ้คนเลื่อนนี่พังซะเอง แถมอาจจะต้องติดคุกยาว ส่วนทีพีพีก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าอินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งไม่สบายใจกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน ส่วนออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์นั้นก็เป็นประเทศตะวันตก ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วครับ ว่าต้องเอียงไปทางพวกตะวันตกด้วยกันมากกว่าจีน สามประเทศนี่เก้ๆ กังๆ เหมือนกับเป็นผู้ขัดขวางกางกั้นไม่ให้อาร์เซ็ปเดินหน้าได้อย่างเต็มตัววันนี้ ผมขอบคุณ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ที่ออกมาพูดว่า ถ้าอาร์เซ็ปเดินช้านัก ก็ไม่ต้องมีอินเดียอยู่ในอาร์เซ็ปก็ได้ ส่วนจีนเองก็เหมือนกัน เริ่มอึดอัดคัดใจกับความล่าช้าของการเจรจาเพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงร่วมกัน และตอนนี้จีนเป็นคนเสนอให้เดินหน้าการเจรจาต่อไปแค่ 13 ประเทศ โดยที่ไม่ต้องมีอินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์อินเดียยึกยักทำให้ความคืบหน้าของการเจรจาอาร์เซ็ปหยุดมาหลายเดือน โดยให้เหตุผลว่า กลัวสินค้าจีนจะไปท่วมตลาดอินเดีย ส่วนออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นคอหอยลูกกระเดือกกับสหรัฐฯให้เหตุผลว่า ตัวเองมีความกังวลเกี่ยวกับการปกป้องแรงงานและสิ่งแวดล้อมท่าทีของอินโดนีเซียบอกว่า ถ้าขาด 3 ประเทศคือ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ อินโดนีเซียจะไม่ลงนามในความตกลงอาร์เซ็ปฟังแล้วดูเหมือนว่าอาร์เซ็ปจะมีความขัดแย้งอยู่ไม่น้อย ไม่ทราบว่าเล่นการเมืองระหว่างประเทศมากกันเกินไปหรือเปล่า ผมคิดว่า แม้จะสรุปผลเจรจาได้ใน พ.ศ.2562 ก็ไปลงนามใน พ.ศ.2563 ไม่ทันดอกครับ เพราะในการเจรจาอาร์เซ็ป ทุกประเทศใช้ตารางการลดภาษีตามฮาร์โมไนซ์ พ.ศ.2555สมาชิกทุกประเภทต้องแปลงพิกัดศุลกากรของตารางการลดภาษีสินค้าให้เป็นพิกัดศุลกากรล่าสุดของ พ.ศ.2560 ให้เสร็จเสียก่อนจะยุ่งยังไง ผมก็ลุ้นอาร์เซ็ปครับ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com