ผ่านมากับหลายบทเรียนในชีวิตที่น้อยครั้ง ศิลปินหนุ่มนักคิดนักเขียน “ว่าน–ธนกฤต พานิชวิทย์” สังกัดค่าย สไปร์ซซี่ดิสก์ (SPICY DISC) จะออกมาเล่าเรื่องราวส่วนตัวของตัวเอง ทั้งในการใช้ชีวิต และความรัก ความสัมพันธ์ “ทีมข่าวบันเทิง” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ว่าน” ในวันที่กำลังก้าวสู่วัยเลข 4 ถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้และตกตะกอนจากเรื่องราวที่ผ่านมา รวมทั้ง ณ วันนี้ ชีวิตที่กำลังเดินหน้าพร้อมลุยผลงานเพลงใหม่ เตรียมให้ได้ฟังปลายปี...เริ่มจากจะถึงวันเกิด วัย 40 แล้ว?“ผมชอบนะคือตั้งแต่ 34-35 ผมจะเริ่มรู้สึกชอบที่เราแก่ลง หรือเราโตขึ้น บางทีผู้หญิงจะกังวลเรื่องแบบจะ 4 แล้ว แต่ว่าผมว่ามนุษย์ผู้ชายมันจะคิด น่าจะคิดต่างว่าโตน่ะดีกว่าคือถ้ายังใช้ชีวิตแบบอายุ 19 หรือทำนิสัยแบบนั้นมันไม่ได้แล้ว พอ 40 เนี่ยจะลงจอดช้าลง การทำงานด้วย งานต่อปีได้น้อยลงแต่เข้มงวดกับมันมากขึ้น รวมถึงการตัดสินใจในหลายๆวาระ เช่น ปีที่ย่ำแย่แบบปีนี้ ปีที่แล้ว ก็รู้สึกว่ามีวิธีการอยู่กับความย่ำแย่นั้นได้” การทำงานที่ช้าลง? “ผมได้คำตอบมาสักพักนึงแล้วครับว่าจริงๆเสน่ห์ของแต่ละชิ้นงานมันไม่เกี่ยวกับเราคนเดียวเลย การสำเร็จแบบโดดเดี่ยวมันไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าไหร่แต่เป็นเสน่ห์ของการร่วมงานต่างหาก มันอาจจะช้าลงตรงที่ต้องรอเพื่อนมา ต้องรอเจอคนที่ถูกต้องที่จะทำโปรเจกต์นั้นนี้ด้วยกันแล้วค่อยๆ เริ่มงาน คำตอบของความสำเร็จวันนี้มันอาจจะเป็นการที่มีคนอยู่ข้างๆแล้วเฮฮากันดีกว่า”ทิศทางของงานเพลงล่ะ?“ผมเพิ่งเริ่มทำเพลงใหม่เพลงแรกของโปรเจกต์ใหม่ ของอัลบั้มที่ 6 ได้ฟังปลายปีนี้แน่นอน ผมแค่นึกออกว่า ตอนนี้เวลาไฟมันติด ต้องรีบไปทำเพราะตอนมันมอดเราใช้เวลานานมากในการที่อารมณ์เราจะติด ก็เริ่มเขียนเพลงทิ้งไว้ประมาณสักเดือนที่แล้ว นึกออกเลยเขียนเลย สัปดาห์ก่อนนัดพี่บอย-ตรัย สองต่อสองไปร้านกาแฟ มาเขียนเพลงนี้ให้จบกัน รีบทำให้เสร็จครับ” เพลงช่วงนี้กำลังโฟกัสอยู่กับอะไร? “ช่วงนี้จะอ่อนโยนหน่อยครับ หลังจากที่ไม่ค่อยปล่อยให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในความรู้สึกอ่อนแอมากๆ หรือว่าไปยอมรับว่าเราหัวใจเต้นแรงมากๆ ช่วงนี้ก็เลยจะมีทั้งพาร์ตแบบเพลงบวกเยอะหน่อย แต่ว่าก็ไม่ทิ้งเพลงเจ็บปวดก็ทดไว้อยู่ครับ ผมมันก็ยังอยากทำ10เพลงเหมือนเดิมนะครับ ตามที่ผมถนัด ยังคิดว่าเป็นไปได้”ชีวิตช่วงที่ผ่านมา เจอหลายบททดสอบ ทำให้เราตกตะกอน เรียนรู้อะไรบ้าง?“มีอันนึงที่น่าจะใช้งานได้จริงก็คือ ถ้าวันไหนไม่สะดวกทำความดี อย่าไปทำชั่วเพิ่ม แล้วชีวิตก็จะเริ่มเสถียร อย่างที่ทราบคือช่วงเวลาที่ผ่านมามีเรื่องที่มันเรื่องใหญ่ เรื่องที่ผมต้องใช้พลังใจเยอะมาก แล้วก็รบกวนคนอื่นเยอะมากที่รักผม ทุกคนวุ่นวายกับผมอยู่หลายเดือน ทำให้รู้ว่าโตแล้วทำอย่างนี้ไม่ได้ อย่าทำซ้ำ วางแผนชีวิตหน่อย ตัวผมพอมีเรื่องกระทบปุ๊บผมเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ผมคนเดียวมันเป็นโดมิโน ช่วงนั้นผมมีเวลาทบทวนกับตัวเองอยู่หลายเดือน ได้เห็นว่าเราสะสมคนที่ดีจำนวนมาก ผมได้เห็นว่าเวลามีปัญหาทีนึงทุกคนพร้อมเข้าชาร์จ และเพื่อนๆ อย่างเช่น โอ๊ต-ปราโมทย์ นี่โทร.หายังกับเมีย ผมได้เรียนรู้อะไรว่า บางทีเราเคยชินกับเรื่องการใช้ชีวิตคิดว่าประมาณนี้แหละ มันก็ไม่เห็นต้องระวังอะไร ก็อยู่ของเราได้ คิดว่าทุกอย่างมันง่ายหมดแต่พอมันเจอเรื่องยากปุ๊บ ชุดความรู้เราไม่พอที่จะแก้ปัญหา สมมติว่าเป็นตัวคนเดียวจริงๆผมไม่รู้ว่าชีวิตมันจะวิ่งไปทางไหนเลย จากวันนั้นผมอาจจะไม่ได้นั่งคุยตรงนี้แล้วก็ได้” ความรักครั้งก่อนหน้าที่ได้เรียนรู้ล่ะ?“หลังจากจบตรงนั้น มันก็เว้นไปเป็นปีๆ ผ่านช่วงเวลาที่เฉยชา ช่วงเวลาที่เค้าเรียกว่านี่เหงาหรือเปล่า ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกส่วนตัวให้คนรอบข้างเห็นถึงเจอกันก็เสียงดังไว้ก่อน ตั้งธงบทสนทนาเอาไว้ มันจะไม่มีใครถามแล้วว่าโอเครึเปล่า คือมันจะมีชุดรักษาความปลอดภัยส่วนตัวของผม มันจะเปิดทันทีเมื่อมีคนเยอะ จนเพิ่งค้นพบว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนคนใกล้ตัวอย่าง ฟิล์ม เลขาของผมจะเริ่มทักแล้ว ช่วงนั้นถ้าเป็นในตัวละครก็เป็นอารมณ์ Sadness อยู่ดีๆก็เป็นเอง ไม่ได้มีเหตุอะไร อาจจะเป็นช่วงเวลาที่มันผ่านมาซะเป็นปีกับอีก 2 เดือน แล้วก็มานั่งคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตในเรื่องนี้ ก้าวไหนมันพลาด คิดคนเดียวมั้ง เลยเป็นเรื่องฟุ้งซ่าน มันแปลผลลัพธ์ออกไปในเรื่องงาน ทำอะไรมันก็มีผลกำไรก็หม่นๆ เดินออกไปมองต้นมะพร้าวอยู่คนเดียว อะไรก็ไม่รู้ครับ ไม่มีกะจิตกะใจอยู่เป็นเดือน วัยประมาณนี้ความเข้าใจเรื่องสมุดวิชาความรัก เราก็ศึกษามาตั้งแต่เด็กจนโตแต่สุดท้ายเรียนไม่จบ สอบไม่ผ่าน มันเจ็บปวด เพลงช่วงนั้นในช่องมีแต่เพลงเศร้า” ถึงกับนั่งอยู่เฉยๆน้ำตาก็ไหลเลยมั้ย? “เป็นอยู่นะครับ เอาตัวเองให้อยู่กับมัน อยู่ตรงนั้นสักพักเพราะเราไม่ได้เป็นบ่อย มันคือความเหงา ความผิดหวังทางความรู้สึก”ในชีวิต 40 ปีไม่เคยมีโหมดเหงา เศร้าแบบนี้?“ไม่มีเลยครับ อันนี้น่าจะเป็นแมตช์แรกจนฟิล์มเลขาผมบอกว่าเมื่อไหร่จะเลิกเป็นอย่างนี้ ออกไปสู่สังคมมันน่ารำคาญ เป็นอยู่ 2 เดือน ผมก็บอกว่าขอเวลาถึงสิ้นเดือน กลับบ้านฟังเพลงเศร้าเผื่อว่ามันจะได้วัตถุดิบที่เราเข้าใจความเศร้าความเหงาจริงๆ กว่าที่เราเคยจินตนาการ เมื่อตรงตามนัดผมก็กลับมา” กลับมาได้ยังไง? “เพราะมันไม่มีอยู่ตั้งนานแล้ว ทุกอย่างมันผ่านเวลามา 365 วัน แต่ห้วงความคิดมันกลับมา ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยก็แค่มันต้องทำอย่างอื่นต่อ ใช้ชีวิตไป” เคยรู้สึกว่าจะไม่รักใครแล้วมั้ย? “ทดเรื่องพวกนี้ไว้อยู่เสมอว่าถ้าเกิดว่ามันไม่ได้มีใคร อย่าหาแฟนในวันที่เราไม่ได้พร้อมจะคุยกับใครจริงๆ คืออย่าเอาความรู้สึกด้านลบส่วนตัวไปชวนคนเข้ามาในชีวิต น่าจะเป็นการตั้งต้นที่ไม่ดี ก็เว้นไปไม่ได้คุยกับใคร”ความสัมพันธ์ครั้งนี้กับสารวัตรบีบี–ศรัญญา ดียังไง?“มันมีความที่ต่างคนต่างอยู่คนเดียวได้ดี ดูแลตัวเองได้ดี ข้อดีคือมันไม่เปราะบางมากนัก มันไม่ได้มีอะไรที่ต้องมาพิงกันจนถ้าไม่เดินไปด้วยแล้วมันจะล้มคว่ำไม่เป็นท่า แต่ข้อเสียที่จะเกิดขึ้นได้คือการแยกย้ายจะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะเราไม่ได้ต้องถือกระเป๋าให้ใคร เรามีกระเป๋าคนละใบ ถ้าง้องแง้งก็แยกทางกันไปเพราะเราก็อยู่ได้ แต่ว่ามันอาจจะเป็นเสน่ห์ของการที่ต้องอ่อนโยนต่อกันมากขึ้น” คนได้เห็นว่านมุ้งมิ้งแบบที่ไม่เคยเห็น เลยแซวว่าถ้าใช่ก็ไม่ต้องรอนาน? “ผมรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันว่าถ้าใช่จริงๆ มันไม่ต้องนานครับ แต่ว่าเร็วไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างน้อยมันไม่ได้มีมาตรฐานหรอกว่าต้องกี่ปีมันถึงจะมั่นใจว่าคนนี้ แต่เร็วไปหน่อยผมก็รู้สึกว่ามันหวาดเสียว ให้เวลาไปอีกสักหน่อยแต่ว่าเราใช้วิธีกระชับความสัมพันธ์ให้มันเร็วขึ้น วัยอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมคิดว่าเราก็คุยกันไปเลยให้มันรู้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลยว่าโอเคหรือเปล่า ไม่ใช่แค่เราสองคนนะมันมีมิติของครอบครัวอีก รวบยอดเจอกันเลยกินข้าวกันเยอะๆ ลูกเป็นยังไงพ่อแม่มีมู้ดแอนด์โทนประมาณไหน มันพอจะอยู่กันได้มั้ย จากสมมติต้องใช้ 10 ปีผมอาจจะกระชับมันให้เหลือสัก 5 แบบนี้ ก็ใช้วิธีเร่งปฏิกิริยาแต่ไม่ได้รีบ”แล้วตอนนี้เราอยู่ในโหมดคลั่งรักมั้ย?“ผมไม่ได้คลั่งเลย ปกติ (ยิ้ม) แต่ปกติที่ว่า มันทำให้คนปากคว่ำได้เนี่ย ผมรู้สึกว่าอ๋อมันดีว่ะ คือเราเอาวันนี้ก่อนเก็บเกี่ยวมันให้เต็มที่ที่เราได้คุยกัน น่าดีใจที่เราได้นั่งกินข้าวร่วมกันมื้อต่อมื้อ ตรงเป้าหมายในอนาคตก็ควรจะตั้งไว้บ้าง แต่ผมจะไม่ใช้วิธีแบบไปขีดเส้นชัยไว้ว่ากี่ปีต้องวิ่งไปถึงตรงนั้น ถ้ามันไปไม่ถึงแล้วเราก็ผิดหวัง เอาแค่วันต่อวันเอาทริปต่อทริป อาทิตย์หน้าเราไปไหนกันดีเราว่างมั้ยเอาแบบนี้ก่อน” เคยถามเค้ามั้ยว่าชอบอะไรในตัวเรา? “ไม่ชัวร์นะ เป็นเรื่องตอบยาก แต่เค้าคงเห็นความเป็นไปได้ คือการใช้ชีวิตผมมันไม่ได้ยากอะไรมาก แต่โอเคหัวใจอันซับซ้อนของผมมันยาก (ยิ้ม) เค้าก็คงต้องค่อยๆรู้จักคือมันซับซ้อนจริง ผมจุกจิก ผมขี้บ่น ผมหลายอย่างมากแต่เค้าไม่เป็น” แล้วเราชอบอะไรในตัวเค้า? “นอกจากเห็นความเป็นไปได้นั้น ผมว่ามันง่ายดี ดูแลตัวเองได้ดี ขยันเข้มแข็งแล้วก็มีโหมดอ่อนโยนได้อันนี้มันเป็นช่วงปีแรกนะช่วงดันกราฟ เราอาจจะโปรยคำชมไป แต่ว่าระหว่างทางเราก็ต้องหมั่นสังเกตว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์บ้างมีอันไหนที่เราต้องมาปรับปรุง” สรุปคลั่งรักมั้ย? “แล้วแต่มองเลย ผมว่าถ้าจะมีความรักก็ต้องเต็มที่กับมัน เอาให้มันเป็นเรื่องสำคัญเทียบเท่ากับเรื่องชีวิต เรื่องงาน เรื่องครอบครัวให้ได้”วัย 40 ปีตอนนี้ของว่านชีวิตมีอะไร “เบา” ลงไปเยอะ และอะไรที่จะเน้น “หนัก” กับมันขึ้น?“ที่ผ่านมาคือผมมั่นใจลึกๆในตัวเองเลยว่าดีชั่วรู้หมดแต่ว่าต้องอดให้ได้จริงๆคือบางอย่างมันก็รู้แหละว่าเรื่องนี้ทำไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแต่ก็ยังจะฝืนทำ ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ เรื่องพฤติกรรมส่วนตัว ทุกอย่างเลย แต่คราวนี้พอมาถึงปักหมุดที่ 40ขวบ ที่ผมใช้คำว่าวัยกลางคนไม่ได้มีอะไรสนุกน้อยลงเลยนะ ทุกอย่างสนุกเท่าเดิมเลย ในปีที่ใครๆก็บอกว่าแย่เรื่องงาน แต่มันมีวิธีที่มากกว่า 1 ทางในการที่เราจะออกจากการงานน้อยได้ อาจจะได้งานนี้จับเงินหมื่น งานนี้จับเงินพัน งานนี้จับเงินล้านก็แล้วแต่ มันอาจจะเหนื่อยล้า อาจจะได้ไม่เท่ากับสิ่งที่เคยได้ ถ้าเราไม่หดหู่กับมันจนเกินไปผมว่ามันได้ จริงๆความ เครียดมันเท่าเดิมแหละเราหยิบมาเครียดเท่าไหร่ ปัญหาและโอกาสมันเท่าเดิมอยู่ที่เราหยิบใช้” สิ่งที่หนักมากขึ้น? “เอาจริงๆมันก็ไม่ได้พ้นงานนะ คืออย่างปีที่ยากลำบาก ถ้าเราไม่เข้มงวดกับชีวิตการทำงาน ผมว่ามีแต่ย่ำแย่ คนขยันยังจะอยู่ได้” บทบาทที่สวมอยู่ตอนนี้? “เต็มไปหมดเลย มันคล้ายๆเดิมก็คือ นักร้อง นักแต่งเพลง พิธีกร เจ้าของช่อง เจ้าของบริษัทเล็กๆตอนนี้เพิ่มมา 1 หมวกชั่วคราวก็เป็น Music Director งาน FU ME FEST2 มีร้านโดนัท Over Proof Donut เพิ่งเริ่มทำอยู่ที่เดอะมอลล์บางกะปิครับ”.เรื่อง: สุภลััคน์ วุฒิกรีธาชัยอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม