ขยันสร้าง “มีม” แบบไม่พักจริงๆ สำหรับ สกาย มาเรีย นางเอกสาว หลังพลิกคาแรกเตอร์เป็นนักเขียนจอมโก๊ะ ในละคร “คุณแม่แก้ขัด” ทางช่อง 7HD แถมได้ร่วมงานกับ 2 พระเอกรุ่นพี่ ทั้ง เอส กันตพงศ์ และ หลุยส์ เฮส เรียกรอยยิ้มจากแฟนๆ แต่เบื้องหลังเจ้าตัวต้องคอยบูสต์ตัวเองให้ตื่นแล้ว ตื่นอีก พร้อมเคลียร์ชัดๆ หลังตัดสินใจเป็น “นักแสดงอิสระ” แง้มโปรเจกต์เตรียมขึ้นแท่นศิลปินป้ายแดง ถึงขั้น “มู” ฉ่ำ เริ่มจาก...ตัวบท อรุณรดา หนักใจตรงไหน“หนักใจตรงตัวละครอรุณรดา คือปกติเวลาหนูเล่นละครจะไม่ใช่คนที่ใช่พลังเยอะ แต่อรุณรดา พลังงานเยอะมาก เวลาเล่นต้องใช้แรงไปทั้งตัวและจะต้องตื่นตลอดเวลา คืออย่างเราถ่าย 6 โมงเช้าเนี่ย อรุณรดาคือตื่นแล้ว แต่สกายยังไม่ตื่น (หัวเราะ) แล้วอย่างเวลาที่เราใช้คำพูดปกติ แต่อรุณรดาเขาจะใส่เอเนอร์จี ใส่พลังเข้าไป เอาจริงๆหนูก็อินตาม และตลกในบทบาทที่อรุณรดาเป็น ซึ่งอรุณรดาไม่ได้ตั้งใจตลก แต่มันคือชีวิตจริงของเขา แต่มันตลกเอง ซึ่งเราต้องเล่นไปทางนั้น” แล้วบูสต์ตัวเองอย่างไร“หนูคิดว่าบูสต์ตัวเองได้นะคะ เพราะหนูดื่มกาแฟทุกวัน แต่เอาจริงๆ ไม่ได้ค่ะ บางวันผู้กำกับคือพี่กัน (กฤษณะ แสงสร้อย) ก็จะมาแบบ ตื่นได้แล้วตื่น สกายตื่น (หัวเราะ) หนูก็บอกว่าหนูตื่นแล้วนะ หนูต้องตื่นมากกว่านี้อีกเหรอ? พี่กันก็จะบอกว่า มันยังเบาไป เรายังต้องเพิ่มเอเนอร์จีอีก แต่ละซีนหนูก็เล่นออกมาในแบบที่หนูคิดว่ามันโอเคแล้ว แต่จริงๆ พี่กันทำให้เห็นว่าตัวละครมีความซับซ้อนกว่าที่เราตีความมานะ บางทีก็มีเพิ่มบทหน้ากองมาบ้าง เรียกว่าเพิ่มทุกซีน ทุก ตอนเลยดีกว่า หรือบางทีก็มีการปรับเปลี่ยนไปบ้างเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดค่ะ”ตัวเราไหวไหมกับละครแนวคอมเมดี้“ยากมากค่ะ ด้วยความที่อรุณรดาต้องเจอกับนักแสดงทุกคน แล้วแต่ละคนที่เราจะต้องเจอในบทบาทนั้น มันจะต้องมีเรื่องมีปัญหาทุกซีน ต้องเอาชีวิตรอด ต้องดิ้นรน คือมันมีแต่เรื่องเข้ามาตลอด ตอนเล่นคือเหนื่อยมาก เรื่องนี้คือละครเรื่องแรกนะคะที่เล่นแล้วกลับไปร้องไห้ที่บ้านบ่อย ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่น แค่เราเหนื่อยแต่เราก็อยากเล่น แต่ ณ ตอนนั้นมันเหนื่อยมากจริงๆค่ะ” รวมถึงมันมาพร้อมความอึดอัด“มันแทบจะเหมือนเราเล่นคนเดียวทั้งเรื่องเลย บทค่อนข้างเยอะ นอกจากจะเล่นกับคนอื่นแล้ว เรายังต้องเล่นกับตัวเองอีก เพราะอรุณรดาชอบคุยกับตัวเอง บางทีในหนึ่งซีน มีอรุณรดา 3 ตัวละครในนั้น เป็นการคุยกับจินตนาการ มันยากกว่าการเล่นเป็นแฝด เพราะเราต้องจำให้ได้ว่าไอ้ตัวนี้คาแรกเตอร์เป็นแบบนี้นะ ตัวนี้เป็นเดวิล ตัวนี้เป็นนางฟ้า คือเราต้องเล่นทะเลาะกับตัวเอง”ชอบตัวละครไหนที่สุด“มันจะมีตัวหนึ่งค่ะ คือคอยปั่น แบบยุยงให้เราทำไปเลย เอาเลย เดี๋ยวก็ได้เงินแล้ว ใครๆเขาก็ทำทั้งนั้น คือเป็นตัวช่างยุ เป็นตัวเสี่ยม เป็นตัวละครที่เราเล่นแล้วคุยกับตัวเองค่ะ” ติดคาแรกเตอร์ตัวละครมาข้างนอกบ้างไหม“คือหนูก็เริ่มมาสังเกตว่า ตอนแรกเราจะคุยกับตัวที่ดีกับไม่ดี แต่หลังๆนี่เหมือนเรามีอีกคนหนึ่งเพิ่มเข้ามา มันเป็นหลายความคิด เรียกว่าเริ่มคิดแตกไปจากเดิม คือเมื่อก่อนอาจจะคิดแค่ดีกับไม่ดี ตอนนี้เริ่มคิดกว้างมากขึ้น เห็นภาพชัดขึ้น แต่เหนื่อยมาก”ถามถึงสัญญากับช่อง 7 ทราบว่าตอนนี้หมดแล้ว“ใช่ค่ะ หมดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว”เราเลือกที่จะไม่ต่อ“ค่ะ ก่อนหน้านี้หนูเคยอยู่กับค่ายหนึ่งแล้วหมด หนูก็คิดว่าอยากเรียนรู้เรื่องการแสดงหนูก็มาที่นี่ คิดว่าเราจะมาโกยวิชาซะหน่อย เป็นประสบการณ์ คิดว่าที่นี่น่าจะให้หนูเล่นหลายเรื่อง ได้ฝึกหลายๆบทบาท คิดว่าวันนี้เราก็ได้ฝึกมาพอสมควรแล้ว และคิดว่าเราพร้อมแล้ว คือตัวของหนูเป็นคนที่ถ้าตัวเองยังไม่มั่นใจในเรื่องไหน แต่ถ้าอยากทำ หนูก็จะมุ่งไปตรงนั้นเลย เราจะอยู่จนเรารู้สึกว่าโอเคแล้ว เราก็จะขอไปด้านอื่นที่เราสนใจเหมือนกัน หนูอยากเป็นคนที่ทำทุกด้านได้ดีค่ะ”ตัดสินใจเป็นนักแสดงอิสระช่วงแรกรู้สึกอย่างไร“ก็มีนิดนึงที่รู้สึก แต่จริงๆก่อนหน้านี้เราก็เคยเป็นนักแสดงอิสระมาก่อน วันนี้เรากลับมาเป็นอิสระที่มีประสบการณ์มากขึ้น”มันแตกต่างไหม“แตกต่างค่ะ วันนั้นเรารู้สึกล่องลอย คือวันนั้นเราไม่รู้ว่าเราจะทำได้ดีหรือเปล่า จนเราได้เข้ามาที่นี่ ได้เรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งเราก็ยังคงเป็นคนที่รอโอกาสค่ะ วันที่โอกาสเข้ามาเราก็จะตั้งใจเต็มที่แน่นอน”กับช่อง 7 ถือว่าเราจากกันด้วยดีใช่ไหม“จากกันด้วยดีค่ะ ช่อง 7 ถือว่าเป็นโรงเรียน เป็นแหล่งที่สอนวิชาให้กับหนูอย่างดีเลย แล้วเราก็เก็บเกี่ยววิชาไปเรื่อยๆในทุกที่” ได้ยินว่าช่วงนี้สกายซุ่มทำเพลงด้วย“ใช่ค่ะ คือเราก็ได้เริ่มทำอะไรมากขึ้นเพราะรู้สึกว่าตัวเองก็พร้อมในอะไรหลายๆอย่าง”อะไรที่ทำให้รู้สึกว่าอยากทำมาตลอด“คือก่อนหน้านี้เราถ่ายละครมาตลอด ละครเข้ามาซ้อนๆกัน เราก็ถ่ายแต่ละคร เพราะเราก็ชอบเล่นละคร แต่พอเรามีแก๊ปว่าง 1 ปี คือรอละครเรื่องนี้ออกอากาศด้วย เราก็เห็นว่าเป็นจังหวะที่เราก็ยังไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เราก็เลยคิดว่าลองดีกว่าไหม คือพอมานั่งคิดว่าในลิสต์ที่เราอยากทำ ยังมีเรื่องอะไร นั่นก็คือเรื่องเพลงนี่แหละที่เรายังไม่เคยจะกล้าทำสักที”อันนี้ปรึกษากับใครบ้าง“ปรึกษากับผู้จัดการค่ะ จริงๆทุกคนก็พอจะทราบอยู่แล้วว่าเราชอบร้องเพลง ทุกคนก็เลยเห็นด้วยที่จะให้หนูทำ เอาจริงๆ คือทุกคนจะบังคับเราไม่ได้ถ้าเรายังไม่ได้อยากทำ แต่พอเรารู้สึกว่าเราพร้อมและอยากทำในสิ่งที่อยากทำทุกคนก็พร้อมจะซัพพอร์ต เพราะเขารู้ว่าถ้าเราบอกว่าเราพร้อม นั่นหมายความว่าเราพร้อมจริงๆ”เริ่มคุยจริงๆจังๆตั้งแต่ตอนไหน“ตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ ตั้งแต่คิดว่าจะหาใครมาแต่งเพลงดี ทางทีมเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลย”ได้ใครมาช่วย“ได้ทีมงานเดียวกับพี่โดม จารุวัฒน์ ค่ะมาช่วยด้วย” สกายเตรียมตัวเป็นศิลปินอย่างไรบ้าง“พอเราได้เพลงที่ตัดสินใจกันแล้วปุ๊บ คือเขามีเพลงที่ทำเอาไว้อยู่แล้วค่ะ หนูก็เลือกเพลงนี้เอาไปซ้อมร้อง โดยให้ครูมาช่วยสอนเพื่อให้เราร้องเพลงนี้ให้ได้ ก็คือช่วยกันหาโน้ตกับครูสอนร้องเพลง ว่าเพลงที่เราได้มามันดีไซน์เป็นแบบไหนได้บ้างให้เหมาะกับตัวหนู พอเสร็จพร้อมก็ไปอัดเสียง จากนั้นก็หาทีมสไตลิสต์ เอาทีมที่เราชอบมาทำเอ็มวี ส่วนท่าเต้น ตัวหนูชอบเต้นในติ๊กต๊อกอยู่แล้ว หนูก็หาคนที่คิดท่าเต้นในติ๊กตอกเก่งๆ มาออกแบบท่าให้เรา คิดว่าท่าเต้นนี้น่าจะฮิตในติ๊กต๊อกและในโซเชียล”จริงจังในเรื่องการเต้น“จริงจังค่ะ คือไหนๆเราก็เต้นเพลงคนอื่นมาเยอะแล้ว เราก็เต้นเพลงของเราเองบ้าง”เป็นความฝันเราใช่ไหมที่มีเพลงเป็นของตัวเอง“ใช่ค่ะ แค่ว่าเราก็ไม่ได้อยากมีแค่เพลงเดียวแล้วจบ อยากมีออกมาเรื่อยๆ เรียกว่าเดบิวต์แล้วกันค่ะเพราะว่าพอเราลองทำเพลงนี้แล้วเราสนุก เพลงเป็นแบบที่เราชอบจริงๆ ตรงตามสเปกที่เราวางเอาไว้”ตอนที่ร้อง ถ่ายเอ็มวี มีแอบคิดไหมว่าความฝันของเรามาไกลแล้ว“ใช่ค่ะ ตอนถ่ายเอ็มวีไม่รู้สึก เพราะตอนนั้นเหนื่อยมาก (หัวเราะ) เต้นทั้งวัน ท่าเต้นต้องบอกว่าไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากค่ะ เป็นฟีลกลางๆ เชื่อว่าคนที่ชอบเต้น เขาจะชอบท่าพวกนี้”เห็นมีท่าทเวิร์กอยู่“(หัวเราะ) อันนั้นเป็นท่าเต้นเวลาเข้าห้องน้ำค่ะ คือหนูชอบเต้นเวลาที่เราทาครีมค่ะ เพราะตัวเองจะทาครีมแบบ 2-3 ชั้น มันจะมีช่วงระหว่างที่เรารอครีมซึมเข้าผิว เราก็เต้นค่ะ พอครีมซึมเข้าผิวปุ๊บเราก็ทาใหม่ ทาเสร็จก็ร้องเพลงแล้วก็เต้นรอ เป็นกิจกรรมในห้องน้ำที่ทำมาตลอด”มีไอดอลในดวงใจ“มีค่ะ คือลิซ่า และไทร่า เราชอบทั้ง 2 คนก็เลยขอนำแบบของทั้ง 2 คนมาเป็นสไตล์ค่ะ”ชอบอะไรในตัวเขา“คือเราก็ติดตามเขามานานแล้วนะคะ ตั้งแต่หนูเด็กๆ คือต้องบอกว่าเขาเข้าวงการมาก่อนเรานะ แล้วเราเห็นเขาเต้น เขามีเสน่ห์มากๆ รวมถึงเพลงของเขาก็น่าฟัง แบบเราไปที่ไหนเราก็ได้ยินเพลงเขา ก็เลยคิดว่าถ้าเราทำเพลง เราก็อยากทำสไตล์ประมาณนี้ ฟังแล้วเราก็คิดอยากทำแบบนี้บ้างจัง”ที่บอกว่ารอฤกษ์ คือต้องไปมูก่อน“มูมาเสร็จเรียบร้อยค่ะ ทั้งมูและตระเวนขอพร หนูไปมูขอพระพิฆเนศที่พัทยา คือก่อนหน้านั้นหนูอยู่ที่พัทยาค่ะ แล้วเปิดไทยรัฐทีวีนี่แหละแล้วเห็นว่าพี่มดดำกำลังพาไปมูพระพิฆเนศ 3 ที่สุดปัง ซึ่งพอดูปุ๊บ หนูก็คิดว่าสิ่งนี้กำลังบอกอะไรหนูอยู่แน่ๆ เพราะ 1 ในสถานที่นั้นอยู่พัทยา ดังนั้นต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วเราก็อยู่พัทยาอยู่แล้ว หนูก็เลยไปเลย แล้วตัวหนูเปิดเฟซบุ๊ก ก็เจอข้อความว่าจะมีบุญสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ คือยิ่งใช่ค่ะ หนูก็ไปเลย”ตอนนี้เป็นศิลปินเต็มตัว คาดหวังกับซิงเกิลแรกของตัวเองอย่างไร“ไม่กล้าคาดหวังเยอะเลยค่ะ ไม่คาดหวังมากก็ไม่ผิดหวังมาก คิดว่าถ้าหนูทำดีที่สุด คนก็น่าจะได้เห็นอะไรสักอย่างบ้าง คือจริงๆก็วางไว้อยากให้เพลงนี้เปิดโอกาสให้ตัวเอง ให้คนรู้จักเรามากขึ้นอีกทาง อยากให้เพลงนี้เป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวหนูค่ะ”ยังมีความฝัน โปรเจกต์อื่นอีกไหม“มีในหัวเยอะมากค่ะ ทั้งเรื่องธุรกิจ จริงๆก็มีแบบที่เราเป็นแบ็ก แต่ไม่ได้เปิดว่าอะไรเป็นของเรา ในด้านวงการ บันเทิงตอนนี้อยากให้เห็นเราในฐานะนักร้อง และเต้นตรงนี้ก่อน คือไม่อยากให้คนติดภาพว่าเราแสดงได้อย่างเดียว คือเรามาในสายบันเทิงที่ทำได้หลายอย่างค่ะ”.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่