สร้างปรากฏการณ์สุดปังแห่งปี 2023 จนต้องยกให้ 2 หนุ่ม “ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ” และ “เซน-นครินทร์ ขุนภักดี” วง “เปเปอร์ เพลนส์ (Paper Planes)” วงร็อกแนว Pop Punk และ Emo Trap ค่าย genie records ขึ้นแท่น “บุคคลแห่งปี 2023” หลังพาเพลงฮิต “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” กลายเป็นเพลงชาติขวัญใจเด็กๆวัยรุ่นฟันน้ำนม ไม่ว่าเวทีไหนที่ “เปเปอร์ เพลนส์” ขึ้นแสดงก็จะเห็นภาพเด็กๆตะโกนร้องเพลงตามแบบว้ากสุดเสียง แทรกซึมเข้าไปอยู่ในใจเด็กๆทั่วประเทศ สมฐานะ “หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนม” และทั้ง ฮาย และ เซน ยังมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของเด็กๆ รวมไปถึงผู้ปกครองที่เปิดใจให้ 2 หนุ่มชาวร็อกลุคเข้มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ในทางกลับกันความดังชั่วข้ามคืนของเพลง “ทรงอย่างแบด” ก็เปลี่ยนชีวิตของ 2 หนุ่มไปในทุกมิติ ซึ่งการเดินทางกว่า 1 ปีของเพลงนี้ ยังคงสร้างแรงบันดาลใจต่อเนื่อง เลยชวนทั้ง ฮาย และ เซน มาพูดคุย ถึงวันนี้ 1 ปีของเพลง “ทรงอย่างแบด” เปลี่ยนชีวิตไปในทุกมิติแค่ไหน?ฮาย “เปลี่ยนหนึ่งเลยคือวิธีการใช้ชีวิต เปอร์เซ็นต์การออกไปทัวร์คอนเสิร์ตเยอะขึ้นมาก ปกติแล้วเวลาเราเป็นศิลปินแล้วมีเพลงฮิตจริงๆมันจะไม่ค่อยข้ามมาฝั่งบันเทิงเท่าไหร่ จะมีความเป็นอาร์ติสต์อยู่ แต่พอเป็น “ทรงอย่างแบด” ก็ขยับมาเป็นคนของสังคมมากยิ่งขึ้น เจอผู้คนมากขึ้น กลายเป็น ว่าเจอคนทุกช่วงอายุ ทั้งเด็กๆ คุณพ่อ คุณแม่คุณตาคุณยายคุณป้า ไปไหนทุกที่เหมือนเรามีญาติเยอะมากกว่าเดิม ทุกคนปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เดินผ่านร้านโบกมือเรียก ซื้อของมาฝาก เราก้าวข้ามมาในจุดที่เราไม่เคยได้มา เป็นที่รู้จักโดยที่เราไม่ได้เป็นดาราหรืออะไร ก็เป็นเรื่องที่แปลกสำหรับในมุมของคนทำเพลง” เซน “แล้วมันก็ลามไปถึงทำให้ได้ทำงานใหม่ๆ เช่น พรีเซนเตอร์โฆษณาต่างๆ”ฮาย “ในช่วงแรกๆเดินไปแล้วเห็นตัวเองในที่ต่างๆในทีวี คนอื่นอาจจะ ชินแต่พวกเราก็ยังรู้สึกแปลกๆดี”เซนล่ะเห็นตัวเองแล้วรู้สึกยังไง? เซน “ก็รู้สึกเท่ดี (ยิ้ม) ผมเปิดม่านที่คอนโดเจอตัวเองบนรถไฟฟ้าที่วิ่งผ่าน ก็ตลกดี ก็ดีใจครับ สำหรับผมใน 1 ปี สิ่งที่เปลี่ยนไปก็เรื่องวิธีคิด เพราะเราทำงานเยอะขึ้นเราต้องใช้วิธีคิดที่ดี อย่างช่วงแรกๆผมทำงานเยอะแล้วแบ่งเวลาไม่ดีเลย ปกติแล้วมันก็ต้องมีเวลาที่คอยเติมพลังให้ตัวเอง แต่ตอนนั้นคือพอเราทำงานข้างนอกเสร็จปุ๊บ กลับไปมันมีงานรออยู่อีก ทำให้รู้สึกว่าทำมันตึง ต้องใช้เวลาปรับตัว”ใช้เวลาปรับตัวนานมั้ย?ฮาย “หลายเดือนครับ ช่วงนั้นผมก็เริ่มเป็นแพนิกในวันที่เพลงดังแล้วเหมือนเรารับมือไม่ทันในการเจอผู้คน ความเป็นส่วนตัวมันเปลี่ยนไปครับ เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงแบบไหนที่ทุกคนจะอยู่ร่วมกันได้หรือว่าทุกคนจะโอเคกับสิ่งนี้มั้ย ผมคิดมาก บวกกับเดินทางบ่อย ปกติเป็นคนติดบ้านเพราะว่าเราทำงานเบื้องหลัง รู้สึกว่าบ้านเป็นเซฟโซน แล้วพอต้องไปนอนหลายๆที่ก็เริ่มนอนไม่หลับ พอพักผ่อนน้อยมีผลโดยตรงเลยครับกับเรื่องสุขภาพจิต มีโอกาสมากที่จะแบบซึมเศร้า พอเริ่มนอนไม่หลับ พักผ่อนน้อยแล้วก็ทัวร์วนๆซ้ำๆ ก็เลยต้องรับยาครับ เชิญรับยาของจริงเลย และผมเป็นคนกลัวเครื่องบินอยู่แล้ว กลัวที่แคบ ก็พยายามปรับตัว อย่างที่เซนบอก เราก็ใช้เวลานานครับ ก็เริ่มรู้แล้วว่าจุดที่เราเดินทางแบบสะดวกเป็นยังไง เราต้องนอนยังไง อย่างเช่นเวลานอนเดี๋ยวนี้ผมก็จะเริ่มพกโคมไฟส่วนตัวไปเพื่อให้เรารู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้านพกผ้าห่ม ค่อยๆเอาของที่บ้านติดไปด้วย ออกรถตู้ส่วนตัวที่มันนั่งสบายมากๆ มีทุกอย่างบนรถที่มันเป็นไลฟ์สไตล์ของเราเลยแล้วก็นั่งยาวๆไป ก็นั่งนานกว่าเพื่อนหน่อยแต่สบายใจกว่า สำหรับผมการขึ้นเครื่องบินคือเหมือนทำใจนานครับ เหมือนพอเรารู้ว่า อีก 2 วันเราจะต้องขึ้นเครื่องมันแพนิกมากๆ แล้วมันส่งผลกับงานที่เรายังต้องทำก่อนล่วงหน้าก็เลยเลือกความสบายใจ เริ่มมีวิธีการของตัวเองแล้ว เริ่มอยู่ได้แล้ว” เซนล่ะเป็นมั้ย?“เวลาไปทัวร์ผมนอนง่ายครับ อย่างเรื่องทำงานหนักเราต้องหาจุดยึดจิตใจให้ตัวเอง ผมจะยึดถ้าไปทัวร์หรือไปเล่นต่างจังหวัดเราก็สนุกกันเต็มที่แต่ว่าถ้ากลับบ้านไปแล้วต้องแบบได้ พักผ่อนเต็มที่ สงบ มีเวลาให้ตัวเองคิดทบทวนชีวิต” ความดังข้ามคืนส่งผลยังไงกับความคิด และมุมมองของเรา?ฮาย “สิ่งแรกคือเราแปลกใจกันก่อนว่าเราจะเป็นคนแบบไหนในสังคม เพราะว่าเราไม่ได้มาด้วยสแตนดาร์ดของสังคมทั้งลุคภายนอกและวิธีคิด เราเป็นเด็กกลุ่มใหม่ๆไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมได้ขนาดนั้น เราเลยรู้สึกว่าหรือเราจะใช้โอกาสนี้ค่อยๆประโลมสังคมให้มีมุมหรือวิธีคิดใหม่ๆไปด้วย เพราะ ว่าต่อจากนี้มันจะเป็นยุคของเด็กรุ่นใหม่ แล้วเด็กๆที่มีความชอบหรือว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนเค้าไม่ควรถูกสังคมตีกรอบ ผมรู้สึกว่ามันจะส่งผลดีทางอ้อมกับสังคม ทำให้เรามีโอกาสได้เจอคนที่มีความสามารถมากยิ่งขึ้น มันเซตมาตรฐานบางอย่างสำหรับคุณพ่อคุณแม่ จังหวะโชคดีด้วยที่ในช่วงอายุคุณพ่อคุณแม่ในรุ่นของผมเหมือนเป็นช่วงอายุที่เริ่มเปิด เลยทำให้เค้าสามารถสอนลูกในแบบใหม่ๆได้ กลายเป็นว่าเมื่อหลานรักเรา คุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่าก็รักเราไปด้วย มันก็ค่อยๆเปลี่ยนทีละนิด ทีนี้สิ่งที่มันยากขึ้นก็คือเรารู้สึกว่าเราถูกปฏิบัติให้เป็นหัวหน้าแก๊งของน้องๆเลยรู้สึกว่ามันยากนิดนึง เพราะว่าจริงๆแล้วสังคมเราเวลามีคนที่เกิดขึ้นมาหรือป๊อปปูลาร์ เค้าจะคาดหวังให้เป็นผ้าขาว แต่ในยุคเรา เรามองว่าจริงๆทุกคนไม่มีใครที่เป็นคนดี 100% แต่แค่รู้ว่ากาลเทศะคืออะไรและควรรับผิดชอบสังคมยังไง เราก็เลยโอเคงั้นเรามองว่าเราเป็นแค่พี่ชายของน้องๆทุกคน มีผิดมีถูก แต่ถ้าเรามีน้องชาย น้องสาวเราจะวางตัวกับน้องยังไง มันน่าจะง่ายที่สุดและเป็นจริงมากที่สุด”ความเป็นตัวตน วิธีคิดของสองคนที่ชัดเจนเป็นที่ชื่นชอบของผู้ปกครองไปด้วย?ฮาย “ก็เป็นเรื่องดีครับ ผมว่าบางอย่างถ้าเค้ารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่มันมีในตัวเรา ถ้ามันเป็นประโยชน์กับการใช้ชีวิตในครอบครัว หรือการสอนน้องๆผมว่าดี เราจะพยายามส่งสิ่งนั้นให้เรื่อยๆ แล้วก็สร้างแรงบันดาลใจ ปกติเวลาไปเล่นแล้วมีงานเด็กๆ เราจะเน้นพูดคุยมากกว่า ให้เค้าสนุกด้วยแล้วก็ได้บางอย่างกลับไปด้วย เด็กในยุคนี้เราไม่สามารถสอน เรารู้ได้เลยแต่ว่าถ้าเราปลูกเมล็ดพันธุ์เข้าไปในใจเค้า วันนึงมันจะไปเติบโตแล้วเค้าอาจจะมีโอกาสเติบโตเป็นคนแบบที่มีคุณภาพ ที่เหลือก็เป็นการรดน้ำดูแลจากคุณพ่อคุณแม่ แล้วเราก็พยายามวางตัวให้ดี พยายามเลี่ยงเรื่องที่ไม่ดีหรือคำหยาบเวลาที่จะพูดสำหรับเด็กๆ เพราะว่าเค้ายังแยกแยะไม่ออก เราเปลี่ยนการดำเนินชีวิตค่อนข้างเยอะเลยครับ แต่ไม่ได้ลำบากเพราะมันเหมือนแค่มีกาลเทศะมากขึ้น” รู้สึกยังไงที่ถูกยกย่องว่าเราเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อฟันน้ำนม? ฮาย “ขอบคุณที่เค้าไว้ใจครับ การที่ผู้ปกครองจะไว้ใจเราแน่นอนมันภูมิใจแล้วมันก็เหมือนเป็นหน้าที่เล็กๆ พอจะไปทำผิดทำพลาดอะไรมันก็เริ่มเกร็งๆ มันก็ต้องอยู่ในร่องในรอย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็กลายเป็นว่ามันถูกบังคับให้เรากลายเป็นคนที่โอเคมากขึ้นด้วย เหมือนเราก็จะทบทวนตัวเองด้วย” เซน “ก็รู้สึกดีครับ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่ผู้ปกครองยอมเปิดใจอันนี้ก็สำคัญ ด้วยแบบรอยสักหรือว่าลุคต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคือกระจกที่สะท้อนเหมือนกัน การที่ผู้ปกครองเปิดใจรับเรานั่นหมายความว่าเค้ามีโอกาสเปิดใจรับลูกเค้าในอนาคตด้วยว่าลูกเค้าจะเป็นอะไร เติบโตในทางไหนเค้าจะรับได้แน่ๆ ถ้าเค้ารับเราในวันนี้ได้ ทำให้เห็นว่าเด็กจะโตมาอย่างมีอิสระแน่ๆ” ที่บอกว่าการมีอิทธิพลกับเด็กทำให้เราดีขึ้นไปด้วย มีอะไรที่เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี?ฮาย “ผมว่าสิ่งแรกเลยคือการเปิดรับคนมากขึ้น จริงๆผมไม่ค่อยชอบอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ ไม่ค่อยอยากเอาใจทุกคนมาก เพราะรู้สึกว่าพอเราเอาใจทุกคนมาก เราจะแบกรับน้ำหนักในวันนั้นเข้ามาในชีวิตเยอะ เวลาเรากลับไปบ้าน มันมีเรื่องหนักเยอะ กลัวทำให้คนนั้นคนนี้ไม่โอเค เหมือนว่าความแข็งกระด้างของผมพอมันมีเด็กๆเข้ามามันทำให้เราอ่อนโยนลง กล้าที่จะเปิดรับคนมากขึ้นซึ่งก็ไม่แย่นี่ เมื่อก่อนไม่ฟังหรอก เดี๋ยวนี้ก็ฟังมากขึ้นแล้วกลายเป็นว่าเราได้รับมุมมองใหม่ๆเข้ามาเยอะ หรือถ้าจะมองเป็นงานก็ได้คอนเนกชัน กลายเป็นว่ามันได้สิ่งดีๆเราก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวางได้มากขึ้นด้วย” เซน “เมื่อก่อนพูดน้อย ตอนนี้พูดเยอะขึ้น ถ้าเป็นเรื่องที่เปลี่ยนไปผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่มีความเป็นเด็กมากขึ้น เอาจริงๆไม่ใช่แค่พวกเรานะ พี่แป๊บที่มาเล่นกีตาร์ให้พวกเราเค้าเป็นพี่ใหญ่สุด เค้าก็ดูเด็กลง ผมก็รู้สึกว่าจริงๆพวกเรามีความเป็นเด็กกันอยู่แล้วแต่พอทำงานหนักๆไปจริงๆความเป็นเด็กก็ตกหล่นไป พอมีน้องๆมาช่วยเติมเต็มความเป็นเด็กทำให้เรามีความสุข” การเปลี่ยนแปลงในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น? ฮาย “ความเป็นอยู่ดีขึ้นครับ ผมสร้างบ้านให้คุณยายแล้วก็ซื้อบ้านหลังใหม่ของตัวเอง ขยับขยาย เรื่องการลงทุนต่างๆ โปรเจกต์ที่ตั้งใจว่าจะทำก็เริ่มๆได้มีเงินมาหมุนเวียนมากขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับวงการเพลงแล้วก็การศึกษาที่ตั้งใจไว้ ด้วยความที่เราโตมาแล้วเรารู้ว่าโอกาสทางการศึกษามันขึ้นอยู่กับครอบครัวแล้วก็เรื่องเงินเป็นหลักๆ เราอยากเข้าไปลดช่องว่างการศึกษาลงสักนิดนึง ให้เด็กเก่งที่เขาไม่มีโอกาสได้มีโอกาส อยากทำเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์เกี่ยวกับการทำเพลง ทำให้คนเข้าถึงการศึกษาได้ง่าย สามารถพัฒนาตัวเองในระดับที่เป็นศิลปินชั้นนำได้ ตอนวัยเด็กของผมมันยากที่จะเข้าถึงได้ แล้วมหาวิทยาลัยที่เป็นชั้นนำเรื่องนี้ ค่าใช้จ่ายสูงมาก ผมคิดว่าคนที่จะเรียนได้ต้องอยู่ในครอบครัวที่พร้อมเท่านั้น ซึ่งผมเชื่อว่าคนเก่งๆไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในครอบครัวที่รวยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทุกที่ เราก็เลยอยากเข้าไปลดช่องว่างตรงนี้ลง” เส้นทางของเราในการทำเพลงที่โตมามันก็ต้องผ่านอะไรเยอะ?ฮาย “ใช่ครับ ใช้ค่าใช้จ่ายเยอะแล้วก็หาโอกาสเยอะ ผมรู้สึกว่าถ้ามันมีสิ่งนี้ขึ้นมามันจะเกิดคอมมูนิตี้ด้วย เราจะสามารถเฟ้นหาคนที่เก่งๆมาได้ โดยที่เราไม่ต้องรู้ว่าพื้นฐานบ้านเค้าคือใครหรือว่ามีคอนเนกชันคือใคร ตอนเด็กๆเราลำบากมาก เพราะว่าผมเกิดมาในครอบครัวที่มันไม่พร้อมมากๆ แล้วก็มันกลายเป็นว่าเราต้องทำ 2 เส้นทางมาตลอดเวลา ก็คือเส้นทางที่หาเงินมาเพื่อทำตามความฝันมันยากสำหรับเด็กคนนึง เราเลยอยากให้เด็กๆมีทางที่มันง่ายสำหรับเค้า” เซน “เรื่องความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตอนนี้ก็เพิ่งซื้อบ้านครับ ใกล้ๆ กับฮาย จริงๆเราโตมาคล้ายๆกัน อยู่กับยายเหมือนกัน ตอนเด็กๆเราก็ศึกษาเรื่องดนตรีด้วยตัวเอง โชคดีที่ยายผมไม่ค่อยห้ามเค้ารู้สึกว่าเรามีความสุขก็ทำไป ลำบากสุดๆก็คือช่วงโควิด ตอนนั้นยังเรียนอยู่และผมเล่นดนตรีกลางคืน ตอนนั้นร้านปิดหมดและยังทำเบื้องหลังกันอยู่ ไม่มีเงินใช้ ถามว่าผ่านมาได้ยังไง ตอนนั้นผมเอาแต้มค่าโทรศัพท์ไปแลกเป็นค่าอาหารกิน มันเป็นช่วงรอยต่อระหว่างช่วงได้ไปทำงานค่ายเพลง แต่ก็โชคไม่ดีที่ค่ายก็ปิดตัว แล้วตอนนั้น เพลงเสแสร้งดังพอดี เลยได้ทัวร์”วันนี้มายืนตรงนี้แล้วหันไปมองเรารู้สึกยังไง? ฮาย “ภูมิใจมากครับ ตั้งแต่เพลงเสแสร้ง ผมคุยกันเสมอเลยว่าภูมิใจมากๆ มันเป็นวันที่เพลงร็อกไม่ได้มีตัวตนเลย แต่วันนั้น สิ่งที่เราทำได้คือเพลงร็อกไปอยู่ในป๊อปชาร์ต แล้วมันติดชาร์ตอยู่หลายสัปดาห์เหมือนกัน เลยรู้สึกว่ามันคือจุดเปลี่ยนทั้งวิธีคิดต่างๆ”อยากให้ทั้งคู่เป็นกำลังใจคนที่กำลังล้มลุก คลุกคลานและตามความฝันอยู่? ฮาย “คนที่มีความฝัน อยากตามความฝัน มันไม่ใช่ทุกคนที่จะสำเร็จได้ และไม่ใช่ว่าที่เราไม่สำเร็จเพราะเราไม่เก่ง บนโลกนี้มันมีตัวแปรเยอะมากๆ ทั้งจังหวะและโอกาสด้วย ซึ่งไม่ต้องไปท้อใจแค่ทำมันไปเรื่อยๆ สนุกไปกับมัน ผมเชื่อว่าสุดท้ายถึงเราจะทำไปถึงจุดไหนมันก็ยังไม่สิ้นสุดอยู่ดี พวกเราเอง ณ วันนี้เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสิ้นสุดเรื่องความฝัน บางอย่างเราก็ปล่อยให้มันเป็นความฝัน เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่ามันมีคุณค่ามากๆ แค่มีความสุขระหว่างทางดีกว่า แล้วถ้าไม่ได้อยากมีความฝันก็ไม่เป็นไร ใช้ชีวิตให้มีความสุข เสพความฝัน และสิ่งที่คนอื่นสร้างก็ได้ บางคนไม่ได้อยากเป็นนักดนตรี บางคนอยากเป็นพนักงานออฟฟิศแต่อยากใช้ชีวิต ฟังเพลงที่ชอบเดินขึ้นบีทีเอส ซัพพอร์ตศิลปิน ผมว่าชีวิตมันเรียบง่ายมากๆ และมีคุณค่าเท่าๆกัน และขอให้มีความรักในสิ่งที่ทำ” เซน “จริงๆคนเราใช้ชีวิตต่างกัน แค่มีกำลังใจในการใช้ชีวิตในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ และอย่างที่ฮายบอกว่าระหว่างทางมันสำคัญมากๆ เพราะว่าจริงๆพอมันสำเร็จแล้ว มันไม่ได้รู้สึกดีเท่ากับตอนที่เรากำลังพยายามทำมันและทำไปเรื่อยๆ อย่างพวกเราไม่ใช่ทำแป๊บเดียวแล้วเพลงดัง บางคนคิดว่าทรงอย่างแบด เสแสร้งเป็นเพลงแรกของพวกเรา แต่จริงๆแล้วมันผ่านมานานมาก ผ่านการท้อเหนื่อยมาเยอะ ผมว่ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความตั้งใจ” ถึงตอนนี้แฟนเพลงมากขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น? ฮาย “สิ่งเดียวเลยคือดีใจ เพลงมันไม่มีคำว่าหนวกหู มันข้ามจุดนั้นไปแล้ว ดนตรีมันก็แค่เสียง เสียงที่คนเลือกฟัง ทำให้จรรโลงใจ ซึ่งสิ่งที่พวกเราต้องทำจริงๆคือรักษาคนเหล่านั้นเอาไว้ เพราะเทรนด์มันก็คือเทรนด์ มันจะมีคนอยู่กับเราจริงๆนับจากวันนั้นที่มันจบลงแล้วเท่าไหร่ก็อยู่ที่พวกเรา อยู่ที่ความเป็นจริง ผมรู้สึกว่าทุกคนมีจุดพีกของตัวเองและมีจุดลงของตัวเอง เราก็แค่ต้องลงนุ่มๆ ซึ่งจาก 1 ปีที่ผ่านมา เพลง “ทรงอย่างแบด” พาให้เราเดินทางไปในหลายๆจุดที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน รู้สึกว่ามันสร้างแรงบันดาลใจทั้งในวงเล็กและวงกว้างด้วย ทำให้คนหลายๆช่วงอายุอยากเล่นดนตรีมากขึ้น เลยคิดว่าจะต่อยอดสิ่งนี้กับงาน “PAPER PLANES FLASH MOB” ชวนคนรักดนตรีขนเครื่อง ดนตรีมาร่วมเล่นดนตรีด้วยกัน ในเพลง “ทรงอย่างแบด” วันเสาร์ที่ 6 ม.ค.นี้ ที่พาร์ค พารากอน หรือใครจะเดินมาฟังเฉยๆก็ได้ครับ” เวลาเห็นเด็กเอาเพลงเราไปเป็นเพลงแรกที่เค้าจะเริ่มฝึกเครื่องดนตรีต่างๆ รู้สึกยังไง?ฮาย “มันรู้สึกว่าชีวิตมันมีความหมาย ถ้าย้อนกลับไปเป็นเด็ก เวลาเราเริ่มต้นเล่นเพลงอะไรแสดงว่าเราให้ความสำคัญกับเค้ามากๆ เรามองเค้าไม่ใช่แค่เป็นแบบฝึกหัดแต่เรามองเค้าแทบจะเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตในหลายๆด้านเลย กลับกันคือพอมาเป็นช่วงยุคเราที่เราได้เป็นคนคนนั้น มันเลยมีความหมายมากๆ รู้สึกดีครับ รู้สึกว่าชีวิตมันมีคุณค่า ผลงานมีคุณค่า รู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆในสังคมที่สร้างแรงบันดาลใจได้สำหรับคนที่ต้องการมีความฝัน เลยค่อนข้างภูมิใจกับตัวเองและวงด้วย” แล้วกับคนที่เค้าทิ้งทุกอย่างไปแล้ว แล้วก็กลับมาเล่นดนตรีเพราะเพลงของเรา? ฮาย “อันนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะชีวิตวันนึงพอเราเดินไปเรื่อยๆแล้ว มันก็มีจุดที่พอเรายิ่งโตขึ้น การใช้ชีวิตมันหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น บางทีเราใช้ชีวิตทำเพื่อครอบครัว ไม่ได้โฟกัสกับความสุขของตัวเอง ไม่ได้มีความสนุกสนานแบบวัยเด็ก แต่พอสิ่งที่เรียกว่าดนตรีมันเข้ามามันเปลี่ยนแปลงทำให้เค้าเหมือนย้อนวัยกลับไปได้ ย้อนอดีตกลับไปได้ ผมรู้สึกภูมิใจ เพราะเรารู้สึกว่าน้อยครั้งมากที่บางสิ่งมันจะนำพาให้เรากลับมามีความสุขหรือย้อนนึกถึงวันวาน นอกจากเรื่องของอาหาร สถานที่ ก็มีเพลงนี่แหละเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะพากลับไปตรงนั้นแล้วก็มาเติมความสุข บางคนอาจจะเป็นการปลดล็อกความฝันในวัยเด็กที่ไม่ได้ทำด้วยซ้ำ” เซน “ผมรู้สึกว่าบางคนในตอนที่เค้าเด็กๆสิ่งที่เค้าฝันมันยิ่งใหญ่มาก พอวันนึงเค้าทิ้งไป วันที่เค้ากลับมาทำแค่บางสิ่งที่มันเล็กๆที่มันเชื่อมกับสิ่งที่ฝันมันตอบโจทย์แล้ว”เคยเจอเหตุการณ์ช่วงอยากทิ้งความฝันเพราะไปแล้วมันไม่สุดสักทีมั้ย?ฮาย “ส่วนตัวผม ผมเป็นคนไม่เคยย่อท้อกับความฝันเลย แต่ว่าย่อท้อกับเรื่องอื่นในชีวิตมากกว่า ผมรู้สึกว่าความฝันนั้นทำได้เรื่อยๆ ต่อให้มันไม่สำเร็จก็ทำไปเรื่อยๆ มีความสุขกับมันไปทีละนิดๆ ถ้าจะย่อท้อคงจะเป็นตรงช่วงชีวิตหนึ่งที่เหมือนกับผมจะแบ่ง 2 โหมด ทั้งโหมดที่ทำตามฝันกับโหมดที่ต้องหาเงินใช้ชีวิต อันนั้นจะท้อกว่าแต่ฝันยังอยู่เสมอ” เซน “ผมก็คล้ายๆกัน ไม่เคยท้อเลย แต่มันจะมีช่วงที่เรารู้สึกว่าทำไมยังทำไม่สำเร็จสักที เราก็ลองหาทางเลือกอื่นสำรองว่าถ้าเราไม่ได้เป็นศิลปินดังจริงๆ เราก็จะทำอะไรแต่ว่ามันก็อยู่ในความเป็นดนตรีอยู่ ก็วางแผนไว้ว่าอาจจะเป็นเบื้องหลัง ซึ่งมันก็ยังเชื่อมกับความฝันของเราอยู่ดี”.ทีมข่าวบันเทิงอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่