ทำเอาแฟนๆเป็นห่วง ศิลปินหนุ่ม “โอ๊ต–ปราโมทย์ ปาทาน” แจกความสุขเสียงหัวเราะให้แฟนๆ หลังออกมายอมรับว่าตัวเองป่วยมีอาการแพนิกต้องพึ่งยามา 2 ปีแล้ว เจอ “โอ๊ต” งานแถลงข่าว “อ๊อฟ–ป๊อบ–ว่าน–โอ๊ต” สี่จตุรเทพสายฮาคืนสังเวียนในคอนเสิร์ต “4 แยกปากหวาน ตอน I will survive สู้ตายเราต้องรอด” ที่ตึกแกรมมี่ อัปเดตอาการป่วยว่า “จริงๆ เรื่องนี้ผมได้พูดไปแล้ว มันเกิดจากการที่ผมทำงานหนักมาก อย่างวันนี้ 4 งานตั้งแต่ 11 โมงไปเสร็จเที่ยงคืน ผมทำงานแบบนี้ทุกวัน วันละ 3-4 งาน ถ้าเกิดเป็นคิวร้องเพลงตอนนี้ก็ยาวถึงสิ้นปี เต็มหมดแล้ว ถ้าเกิดเป็นคิวงานอื่นก็ถึงธันวาคม แต่ ถ้าเกิดเต็มเดือนก็จนถึงเดือนตุลาคมไม่มีคิวว่างแล้ว ทำงานทุกวันเลย พอมันทำมากๆ มันก็มีรู้สึกว่าไม่รู้ว่าเราทำเพื่อใคร รู้สึกว่าเราทำเพื่อคนอื่นตลอด ก็ต้องพยายามจัดความคิดตัวเองอยู่ตลอด แต่บางคนคิดว่าเราโชคดีที่เราอยู่ตรงนี้ ซึ่งมันก็โอเค มีคนรัก เราที่เราทำให้คนอื่นมีความสุข แต่บางทีแล้วเราลืมดูแลตัวเราเอง ลืมดูแลจิตใจเรา เราเคยสำรวจตัวเองบ้างมั้ยว่าเรารู้สึกอะไร เป็นอะไรอยู่ เราโอเคกับมันจริงๆหรือเปล่า”มีแอบร้องไห้คนเดียวบ่อยมั้ย? “บ่อยครับแต่ช่วงหลังก็ดีขึ้น”คนดูจะเห็นแต่โอ๊ตตลกแต่อยู่บ้านต่างกันไปเลย? “จริงๆผมไม่ ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่ อยู่หลังเวทีกับนักดนตรีผมก็ไม่ได้คุย เหมือนผมคิดงานตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะว่าเรามีหลายหัวโขน อย่างวันนี้เรามาในฐานะศิลปิน พอเสร็จจากงานนี้เราก็ไปให้สัมภาษณ์ กลับบ้านไปก็ต้องเข้าออฟฟิศประชุมงานต่างๆ ในฐานะผู้บริหาร แล้วคืนนี้ ผมก็ต้องกลับไปเป็นศิลปินร้องเพลง มันหลายบทบาท ผมก็ต้องรับผิดชอบเยอะ บางทีเวลาที่เราว่างนั่งอยู่เฉยๆเราก็ยังคิดอยู่ว่างานนี้ไปถึงไหนแล้วตลอดเวลา”นอนหลับสนิทมั้ย? “ผมหลับสนิท นอนหลับเป็นตายเลยเพราะว่ามันเหนื่อยมาก หัวถึงหมอนหลับเลยแต่พอตื่นขึ้นหัวก็ทำงานทันที”อยากเพลางานหลังจากวันนี้ว่างมั้ย? “ตอนนี้ผมมีนัดเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้ว หลังจากจบสี่แยก โอ๊ต ป๊อบ อ๊อฟ ว่าน มกราคม เราจะไปเที่ยวกันประมาณ 12 วัน อันนี้ต้องรอข้ามปีแล้วเพราะว่าปีนี้ไม่มีคิวแล้ว”หลังจากนี้จะจัดระบบการรับงานใหม่มั้ย ให้มีเวลาพักบ้าง? “ผมปฏิเสธการรับงานไม่ได้ เพราะว่ามันมีคนที่รอ จากเราอีกเยอะ หมายความว่าผมต้องแบ่งเวลาให้กับหลายกลุ่ม วงดนตรีผมเล่นกันมาเป็น 10 ปีแล้ว ผมก็จะให้คิวเค้าเดือนหนึ่ง 10 งาน แล้วก็มีคอนเสิร์ตใหญ่อีกและก็ต้องบริหารโคตรคูลอีก รายการ 8 รายการ เพลงก็ต้องทำคิดขยายบริษัทอีก คือเราเป็นทั้งผู้บริหารและคนที่เป็นเพอร์ฟอร์แมนซ์ด้วย เลยมีบทบาททั้งข้างหน้าและข้างหลัง”เคยไปหาหมอมั้ยในภาวะที่เราดาวน์มากๆ? “เคยครับ จริงๆผมหาคุณหมอบ้าง ทุกวันนี้ผมก็ต้องกินยาเวลาที่ต้องขึ้นเครื่องบินเพราะถ้าเกิดไม่กินผมขึ้นเครื่องไม่ได้ เพราะว่านั่งอยู่ในที่แคบนานๆไม่ได้ จะตาย ต้องนั่งหน้าสุดหรือไม่ก็ที่ที่ขาสามารถยืดได้ ผมเป็นมาสองปีแล้วเกิดจากการทำงานหนักนี่แหละครับ” ล่าสุดพายัวร์บอยทีเจขึ้นคอนเสิร์ตตันไฟท์ตัน ของเราด้วย เป็นอย่างไรบ้าง? “เยี่ยมเลยครับ ตอนแรกกับทีมงานเราก็ประชุมกันว่าทีเจจะไหวมั้ย เราบอกทางทีมเลยว่าต้องไหว เราอยากให้มาขึ้น เพราะอยากให้น้องได้พลังงานดีๆ กลับไป พอศิลปินขึ้นเวทีแล้วได้ยินเสียงกรี๊ดเสียงปรบมือ เสียงเรียกชื่อ มันจะมีกำลังใจ อยากให้ทีเจกลับมาโชว์ กลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข อยากให้มีคนมาเห็นด้วยว่ามีคนรักเค้า พอขึ้นมามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกคนปรบมือ กรี๊ดเรียกเค้าตลอด พอกลับไปน้องก็รู้สึกว่ามีคนรักน้องนะ”พอกลับไปน้องเค้ามีฟีดแบ็กยังไง? “น้องกังวลมากกว่า กังวลเหลือเกินที่จะขึ้น โชว์ เพราะไม่ได้โชว์นาน การที่จะต้องขึ้นไปโชว์ต่อหน้า คนเป็นหมื่นก็จะมีความประหม่า เราก็บอกว่ายอดเยี่ยม เลย หลังจากจบคอนเสิร์ตก็ดีขึ้น จริงๆ ทีเจดีขึ้นตลอด มีการนัดว่าเดี๋ยวจะไปกินข้าวที่บ้าน ไปกับพี่ป๊อบ”เรียกว่าน้องไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง? “อันนี้ผมตอบไม่ได้ ต้องถามคุณหมอ แต่จากสิ่งที่เราเห็นทุกอย่างมันโอเค แต่เรื่องของโรคภัย เราไม่มีทางรู้ว่าข้างในเขาดีขึ้นหรือยัง แต่หน้าที่ของเราอยู่ข้างๆ เป็นที่พึ่งทางใจให้เขาดีที่สุด”พยายามคุยกับทีเจตลอด? “จริงๆ เราเจอกันบ่อย เราสนิทกับทางผู้จัดการของ น้องและเราก็บ้านใกล้กัน มีเจอกันบ้าง ไปขับรถเล่นด้วยกันบ้าง”ต้องซัพพอร์ตเค้าเยอะขึ้นมั้ย? “อย่างวันที่มีเรื่อง ผมก็อยู่กับเค้าตลอด จริงๆ แล้วตัวเราเองก็เป็นแพนิกด้วย จริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ดีที่สุด คืออยู่ข้างๆเค้า เราก็ต้องป้องกัน ตัวเองด้วย ผมอยากให้เขารู้ว่าชีวิตเรามันสวยงาม มันมีเรื่องให้สนุกอีกตั้งเยอะ มันไม่ได้มีแค่ผม มีพี่ป๊อบที่เป็นห่วง แล้วก็มีอาร์ต ที่บ้านอยู่ไกลมาก แต่ก็ขับรถมาหา มานั่งเป็นเพื่อน สุดท้ายเราก็พยายามบอกเค้าว่าโลกนี้จะสวยงาม เราอยู่ข้างๆ ถ้าต้องการเราขับรถมาคุยมาหาได้ตลอด ตั้งแต่น้อง ออกมาจากโรงพยาบาล เค้าก็ทำเพลงเลยครับ มันคงเป็นความอึดอัดในใจที่อยากจะเขียนระบายออกมา ว่าตอนนั้นตัวเองรู้สึกอย่างไร แล้วเป็นยังไงอยู่ มันเหมือนมีไดอารีชีวิตของตัวเองอยู่ในนั้น ผมว่าเค้าน่าจะเขียนออกมา เพื่อให้คนอื่นมองเขาผ่านเพลง”.