ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันว่ายาลดไขมันกลุ่มสแตติน (Statin) มีความดีงาม ลดไขมันเลว ที่รู้จักกันดีในนาม LDL และสามารถลดความเสี่ยงที่จะกลับเป็นใหม่ในโรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบใครมีเส้นตีบอัมพฤกษ์หรือหัวใจทำบอลลูนและใส่ขดลวดถ่างหลอดเลือดแล้ว เป็นต้องใช้สแตตินตลอด โดยเฉพาะถ้าสามารถลด LDL ได้จนต่ำถึง 50 ยิ่งเจ๋ง และต่อมาก็ขยายขอบเขตการใช้สแตตินในคนที่ยังไม่เป็นโรค เรียกว่ากันเอาไว้ก่อน โดยที่ดูๆจะมีความเสี่ยงลงพุง ความดันนิดๆ หรือไม่มีความเสี่ยงนัก แต่พี่ น้อง ปู่ ป้า น้า อา มีโรคเส้นเลือดตีบดังที่ว่า อนึ่ง ถ้ามีไขมันโผล่ โดยดูจากความเสี่ยงที่จะเกิดใน 10 ปี ทั้งนี้ แม้หมอดื้อไม่มีความดัน (120/80) อ้วนนี้ดเดียว แต่เมื่อเข้าสูตรแล้ว ต้องกินยาลดไขมัน เพราะค่าไขมันคอเลสเทอรอลรวม 230 กว่าในระยะที่ผ่านมา เริ่มมีรายงานทยอยเรื่องผลข้างเคียงของยาสแตติน (หมอดื้อ : ลับ ลวง พราง ยาไขมัน) ที่จะมีมากกว่าที่เชื่อกัน และอาการปวดเมื่อยอ่อนแรงที่เจาะเลือดค่าผิดปกติของกล้ามเนื้อ (CPK) ไม่ขึ้นก็ได้ จนกระทั่งถึงตับอักเสบ และการเกิดเบาหวาน ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นมาก่อนกินยาไขมันใดๆ รายงานในวารสาร Lancet (2010) BMJ (British Medical Journal) (ในปี 2013 และ 2014) แต่หักลบกลบหนี้กันแล้ว ประโยชน์ดูจะมากกว่าโทษ ประเด็นสำคัญซึ่งนำมายังการศึกษานี้ เนื่องจากในระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ได้รวมผู้สูงอายุจริง และไม่รวมสตรีเข้าไปนัก การศึกษานี้ทำที่ประเทศออสเตรเลียที่มีความชำนาญ และติดตามสุขภาพของสตรีเป็นพิเศษโดยติดตามคนที่เกิดในระหว่างปี 1921 และ 1926 และมีการประเมินสุขภาพกันทุกๆ 3 ปี ตั้งแต่ปี 1996 และสตรีทั้งหมดนี้มักจะอยู่ในชนบท และที่ค่อนข้างห่างไกลทั้งสิ้น การพิจารณาการเกิดใหม่ของโรคเบาหวาน จะตัดสตรีที่ได้รับการวินิจฉัยหรือมีการรักษาเบาหวานอยู่แล้วในช่วงประเมินในปี 1996, 1999 และ 2002 ออกก่อน และจะนับคนที่เป็นเบาหวานที่เป็นใหม่เท่านั้น ระหว่างต้นเดือนมกราคม 2003 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2013 โดยเพื่อเป็นหลักประกันที่ต้องระมัดระวังไม่เหมารวมคนที่เป็นเบาหวานมากเกินไป จะตัดสตรีที่ได้รับยาหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานออกไปในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคมจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2002 และเกณฑ์ที่จะเชื่อมโยงกับการเกิดเบาหวานและการใช้ยาสแตตินนั้น จะนับเมื่อหลังจากใช้สแตตินเกิน 8 เดือนไปแล้ว โดยที่กลุ่มสตรีทั้งหมดจะได้รับยาในขนาดต่างๆกัน (2% ได้ยาลดไขมันอีกกลุ่มคือ Ezetimibe) การจัดแบ่งความแรงของยาไขมันจะเป็น 6 ระดับ โดยที่ระดับที่ 1 (ต่อวัน) คือ Simvastatin 5 Rovastatin-pravastatin 10 Lovastatin 10 Fluvastatin 20 Atorvastatin-ระดับ 2 จะเป็น 10, -, 20, 20, 40-ระดับ 3 เป็น 20, 5, 40, 40, 80, 10 ระดับ 4 เป็น 40, 5-10, 80, 80, -, 20 ระดับ 5 เป็น 80, 10-20, -, -, -, 40 ระดับ 6 เป็น -, 40, -, -, -, 80 ทั้งนี้ โดยเทียบความแรงของยาตามปริมาณจากมิลลิกรัมของยาต่อวัน การวิเคราะห์มีการปรับตัวแปรอื่นๆ ทั้งอายุ บุหรี่ สมรรถภาพร่างกาย การประเมินสถานะทางสุขภาพ การศึกษา ปริมาณแอลกอฮอล์ รูปร่างขนาดน้ำหนัก และความดันโลหิต และยังรวมถึงชนิดและประเภทของยาที่ใช้ร่วม ได้แก่ ยาลดความดันที่ออกฤทธิ์ต่อ Renin-Angiotensin กลุ่ม Beta Blocker กลุ่มยากันเส้นเลือดตีบและยาขับปัสสาวะ กลุ่มยาแก้ปวดข้อ กลุ่มยาลดกรดในกระเพาะ กลุ่ม PPI (Proton pump inhibitors) การสำรวจทำทุก 3 ปี ในปี 2005 2008 และ 2011จากการติดตามสตรีสูงวัย 8,372 ราย (76-82 ปี) ไป 10 ปี ตั้งแต่ปี 2003 มีจำนวน 49% ที่ได้รับยาสแตติน และมีจำนวน 5% ที่เริ่มต้นได้รับการวินิจฉัยและรักษาเบาหวานที่เป็นใหม่เอี่ยม จากการคำนวณทางสถิติ Multivariable Cox Regression แสดงว่าการใช้สแตตินเกี่ยวโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานที่ต้องได้รับการรักษา (Hazard Ratio 1.33 ; 95% CI 1.04-1.70 ; p=0.024) และเมื่อคำนวณกลับจะพบว่าจำนวนคนที่ต้องใช้ยาในช่วง 5 ปี และเสี่ยงเกิดเบาหวานจะเท่ากับ 131 (NNH หรือ Number needed to harm) (95% CI 62-1078)ทั้งนี้ ถ้าตัวเลขเท่ากับ 1 หมายความว่าทุกคนที่ใช้จะเป็นโรคทั้งหมด ความเสี่ยงจะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าขนาดของสแตตินที่ใช้สูงขึ้น โดยมี Hazard Ratio เท่ากับ 1.17 (95% CI 0.84–1.65) ในขนาดต่ำ และเป็น 1.51 (95% CI 1.14–1.99) สำหรับขนาดที่สูงสุดข้อมูลง่ายๆที่คณะศึกษาได้สรุปสั้นๆ มีดังต่อไปนี้คือ ในช่วงระยะเวลา 10 ปี สตรีสูงวัยชาวออสเตรเลียจำนวนครึ่งหนึ่งได้รับยาลดไขมันสแตติน และมี 5% ที่เป็นเบาหวานใหม่เอี่ยมโดยที่ได้รับยารักษาเบาหวานด้วย ในกรณีที่ใช้ขนาดยาลดไขมันสูง ความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานจะเพิ่มเป็น 33% ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นเครื่องเตือนใจที่ต้องระวังในการให้ยาลดไขมันสแตตินแบบป้องกันไว้ก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มสูงวัยในเรื่องของการเกิดเบาหวาน เพราะเราเองคงนึกว่ารอดแล้วจากเบาหวาน เมื่ออายุปาไปตั้ง 75 ปี แต่กลับไปเกิดเบาหวานขึ้นมาอีก แถมต้องรักษาเบาหวานไปอีกโรค.หมอดื้อ