ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพรสงครามระหว่างสยาม ญวน ลาว และเขมรในแผ่นดินรัชกาลที่ 3 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพใหญ่ เคี่ยวกรำศึกอย่างต่อเนื่องและยาวนานนับจากเป็นแม่ทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ เมื่อปี พ.ศ.2396 จนถึงเสร็จสิ้นสงคราม รวมเวลาเกือบ 20 ปี ทำให้เกิด “หลักฐาน” ต่างๆ ในแผ่นดินเขมร และยังเหลือ “ร่องรอย” ให้พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ร่องรอยเหล่านั้นมีทั้งบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา และในประเทศกัมพูชามูลเหตุแห่งสงคราม ระหว่างไทยกัมพูชาช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น ทราบกันดีว่าเขมรเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจสยามกับญวน ทำให้เขมรต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้กับทั้งสองประเทศมาช้านาน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากข้อเสียของเขมรที่มักจะระหองระแหงแย่งอำนาจกันเอง คราวใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ ถ้าไม่เข้ามาพึ่งสยามก็ไปพึ่งญวน เพื่อกลับไปยึดอำนาจอีกฝ่ายหนึ่งด้วยเหตุนี้ สยามแม้จะอยู่ห่างจากญวน แต่ต้องเปิดศึกกันอยู่เนืองๆร่องรอยของเจ้าพระยาบดินทรเดชา ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร “หมอยาไร้พรมแดน” แห่ง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี นำคณะสืบหาทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ด้วยตระหนักในผู้สร้างคุณแก่แผ่นดิน คราวนี้เริ่มจากวัด “หลวงบดินทร์”พระครูบดินทร์เดชาภิวัฒน์ หรือ หลวงพ่อขันตี สีลสุทฺโธ เจ้าอาวาสวัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี บอกว่า วัดหลวงบดินทร์เดชาแห่งนี้ เจ้าพระยาบดินทรเดชา แม่ทัพสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างไว้สมัยออกรบ ทั้งไปปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ (ลาว) ปราบเขมร และญวนภายในวัดมีรูปปั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชาอยู่หน้าพระวิหารน้อย ภายในมีพระพุทธรูปสวยงามปิดทองอร่ามเรือง เสมือนซ่อนความขรึมขลังไว้ภายใน เบื้องหน้าพระวิหาร นอกจากรูปปั้นเจ้าพระยาบดินทร์แล้ว ยังมีพระธาตุขนาดเล็ก เล่าลือกันว่า ยามค่ำมืดมักมีแสงเปล่งประกายออกมาเจ้าอาวาสบอกว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชาคงจะสร้างพระธาตุไว้หลังจากกลับมาจากรบที่เวียงจันทน์ เชื่อกันว่า ในพระธาตุมีวัตถุมงคล เคยมีคนพบพระและนำออกไปจากพระเจดีย์ด้วย ปัจจุบันเชื่อว่ายังมีผอบและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ แต่จะเป็นอะไรบ้างนั้น ไม่อาจทราบได้สิ่งที่แปลกอีกประการหนึ่งคือ หลวงพ่อบอกว่า เมื่อก่อนพบลูกปืนใหญ่เป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันเหลืออยู่น้อยแล้ว และนำมาให้ดูเป็นลูกปืนที่ผลิตจากเหล็กขนาดใหญ่ น้ำหนักน่าจะเกิน 1 กก. หลวงพ่อบอกว่า สาเหตุที่พบลูกปืนมากเพราะว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชาเคยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นคลังเก็บอาวุธ ไว้สำหรับไปรบกับลาว เขมร และญวน“วัดเคยเป็นที่พักกองทัพสยาม สมัยอาตมาเด็กๆ ไม่ค่อยมีใครกล้าผ่านวัดนี้สักเท่าไหร่ เพราะมีคนบอกว่าเจอผี เจอเปรต พื้นที่เต็มไปด้วยป่ารกร้าง มีเถาวัลย์เกาะระโยงระยางเต็มไปหมด ในโบสถ์ก็เคยมีพระพุทธรูปทำด้วยไม้เก่าแก่ แต่คนขโมยเอาไปหมด”และยังเล่าขานกันว่า หน้าโบสถ์มีบาตรศักดิ์สิทธิ์ น่าจะเป็นบาตรของเจ้าพระยาบดินทรเดชา แต่ปัจจุบันหายไปแล้วใกล้ๆกับวัดหลวงบดินทร์เดชา ยังมีวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งชื่อ วัดกุงประชาสรรค์ เจ้าอาวาสเก็บพระพุทธรูปเก่าแก่ไว้มากมาย เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปในสมัยเจ้าพระยาบดินทร์ พุทธลักษณะของพระพุทธรูปส่วนหนึ่งออกไปทางเอกลักษณ์ของลาว สาเหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะว่า ชุมชนที่อยู่รอบๆวัดล้วนอพยพมาจากลาว อาจนำพระพุทธรูปในท้องถิ่นเดิมของตนเข้ามา หรือไม่ก็อาจสร้างขึ้นมาใหม่ โดยนำเอาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตนมาใช้ในการหล่อหรือปั้นนัยสำคัญคือ วัดแห่งนี้มีพระแก้วมรกต บอกไม่ได้ว่ามีความเก่าแก่เพียงใด พิจารณาจากพุทธลักษณะ ดร.อุเทน วงศ์สถิตย์ ตั้งข้อสังเกตไว้แต่เพียงว่า สมัยก่อนนั้น การทำพระพุทธรูปด้วยแก้วมรกตมีนัยน่าสนใจคือ พระแก้วเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นของลักษณะนี้ไม่ใช่ของทั่วไป คนสร้างได้ต้องเป็นคนระดับเจ้านาย เนื่องมาจาก 1.วัสดุหายากมาก 2.คนครอบครองได้ต้องไม่ธรรมดา และ 3.คนแกะพระพุทธรูปพุทธลักษณะงดงามเช่นนี้ได้ต้องไม่ธรรมดา แต่จะเป็นช่างหลวงหรือไม่นั้น ก็น่าคิดไม่น้อยเหมือนกันผ่านชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ปอยเปตไปยังพระตะบอง ร่องรอยเจ้าพระยาบดินทรเดชา ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร พาไปพบที่วัดปราบปัจจามิตร ชาวกัมพูชาเรียกว่าวัด กดล ถ้าเป็นภาษาไทยก็ได้แก่ วัดกระโดน นั่นเองวัดนี้ เจ้าพระยาบดินทรเดชาสร้างไว้ เจ้าพระยาอภัยภูเบศรเป็นผู้ต่อเติม ปัจจุบันมีการสร้างและแต่งเติมหลายอย่าง ร่องรอยที่พบคือ หน้าบันพระอุโบสถเป็นรูปตราจักรีเหนือพระขรรค์ชัยศรีที่อยู่บนพาน ครั้นเลาะแนวกำแพงไปด้านหลังก็พบรูปปั้นชายไว้หนวดยาวเฟิ้ม เบื้องหน้าพระเจดีย์เก่าแก่บริเวณทางเข้าทั้งซ้ายและขวา อาจเป็นได้ทั้งเจ้าพระยาบดินทรเดชา หรือเจ้าพระยาอภัยภูเบศรครั้นเดินทางไปยังกรุงพนมเปญ ก่อนถึงกรุงพนมเปญราว 40 กม. มีเทือกเขาราชทรัพย์ ใกล้กันเป็นที่ตั้งเมืองหลวงเก่าของเขมรชื่อ อุดงค์มีชัย ในอดีตเคยมีรูปปั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชาตั้งอยู่ ต่อมาหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลยกรุงอุดงค์เข้าไปยังพนมเปญ ร่องรอยเจ้าพระยาบดินทรเดชา อยู่ที่วัดพระพุทธโฆสาจารย์ ชาวบ้านเรียกว่า วัดเจินด็อมแดก หรือวัดจีนตีเหล็ก ร่องรอยที่ว่านั้นคือจารึกเจ้าพระยาบดินทรเดชา ท่านจารึกไว้เมื่อคราวเข้ามาไล่ญวนให้พ้นแผ่นดินเขมรจารึกเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ณ วัดพุทธโฆสาจารย์ กรุงพนมเปญ นักวิชาการชาวกัมพูชาจัดลำดับไว้ที่ K. 1213 รูปอักษรที่มีในจารึกเป็นแบบ ไทยธนบุรี-รัตนโกสินทร์ จารึกไว้เมื่อ พ.ศ.2385 ด้วยภาษาไทย จำนวน 1 ด้าน มีจำนวน 30 บรรทัดลักษณะวัตถุ แผ่นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จำนวน 2 แผ่น ขนาดวัตถุ แผ่นที่ 1 สูง 20 ซม. แผ่นที่ 2 สูง 24 ซม. ทั้ง 2 แผ่น กว้าง 29 ซม.เนื้อความในจารึกโดยย่อคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ดำรัสสั่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา สมุหนายกอัครมหาเสนาบดี ยกทัพออกจากกรุงเทพฯเพื่อไปปราบภัยพาล ที่เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในกัมพูชา อันเป็นขอบขันฑสีมาของสยามครั้นเสร็จศึก พบว่าพระอารามน้อยใหญ่ถูกทำลายไปมากจึงสละทรัพย์จ้างไพร่พลในกองทัพช่วยปฏิสังขรณ์ ให้ฟื้นคืนให้อยู่สืบไปพร้อมกันนั้น ได้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ ลงท้ายด้วยคำสาปแช่งคนที่มาทำร้ายเจดีย์ ให้ “มิอาจดำรงชีพอยู่นานได้ จะถึงซึ่งประลัยด้วยภยันตรายต่างๆ เบื้องว่า จุติจากโลกมนุษย์โลกแล้วก็จะลงไปเกิดในมหานรกหมกไหม้อยู่สิ้นกาลช้านาน”ร่องรอยเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่พบทั้งในประเทศไทยและในประเทศกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเอกอุ และความเสียสละของท่านเพื่อชาติบ้านเมืองวีรกรรมของท่าน ยากที่จะหาแม่ทัพนายกองผู้ใดเสมอเหมือน.