เมื่อ 30 มี.ค. หรือ 1 วันหลังนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร (ยูเค) หรืออังกฤษ ส่งจดหมายแจ้งนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานสภายุโรปว่า อังกฤษใช้มาตรา 50 ในสนธิสัญญาลิสบอน ขอเริ่มกระบวนการเจรจาถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือ “เบร็กซิต” อย่างเป็นทางการ ตามผลการลงประชามติเมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว รัฐบาลอังกฤษได้เผยแพร่รายละเอียดของ “เกรท รีพีล บิลล์” (ร่างกฎหมายล้มเลิกที่ยิ่งใหญ่) ซึ่งเป็นแนวทางเปลี่ยนกฎหมายหลายพันฉบับของอียูให้เป็นกฎหมายของอังกฤษเอง รวมทั้งกฎหมายด้านสิทธิคนงานและสิ่งแวดล้อมร่างกฎหมายนี้จะล้มเลิก “กฎหมายประชาคมยุโรป” ซึ่งระบุว่ากฎหมายอียูอยู่เหนือกฎหมายอังกฤษ รับประกันว่าอังกฤษจะถอนตัวจากขอบเขตอำนาจศาลยุติธรรมอียู ปรับเปลี่ยนกฎหมายอียูเป็นกฎหมายภายในของอังกฤษ และจะบังคับใช้ทันทีในวันที่อังกฤษถอนตัวจากอียู โดยคณะรัฐมนตรีอังกฤษชี้ว่า มันจะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะ “หลุมดำ” ในกฎหมายเมื่ออังกฤษแยกจากอียู แต่ร่างกฎหมายนี้จุดกระแสถกเถียงเพราะให้อำนาจคณะรัฐมนตรีแก้กฎหมายบางฉบับโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาอนึ่ง มาตรา 50 ระบุว่า ให้อังกฤษและอียูเจรจาหาข้อตกลงภายใน 2 ปี ซึ่งถ้าไม่มีการขยายเส้นตายนี้ อังกฤษจะแยกจากอียูอย่างเป็นทางการใน 29 มี.ค.2562 โดยอังกฤษมีเวลาจนถึงเดือน ต.ค. 2561 ที่จะสรุปแผนแยกตัวจากอียู แต่อาจมีปัญหาถ้าบรรลุข้อตกลงกันไม่ได้ใน 2 ปี และอาจต้องมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 1-3 ปี เพื่อให้กระบวนการแยกตัวค่อยเป็นค่อยไป คณะกรรมาธิการยุโรปประเมินว่า อังกฤษจะใช้งบประมาณในการเจรจาถอนตัวจากอียูถึง 60,000 ล้านยูโร หรือ 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนนายทัสค์จะเปิดเผยแนวทางการเจรจาใน 31 มี.ค. และผู้นำสมาชิกอียู 27 ประเทศจะเปิดประชุมพิเศษใน 29 เม.ย. เพื่อลงมติรับรองแผนนี้ก่อนเริ่มเจรจากับอังกฤษ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในเดือน พ.ค. ขณะที่มุขมนตรีของยิบรอลตา ดินแดนใต้อาณัติของอังกฤษประกาศว่าจะไม่ตกเป็นเหยื่อของเบร็กซิตและจยอมรับความเป็นจริงใหม่ของการอยู่นอกอียูด้านประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลองด์ แห่งฝรั่งเศส โทรศัพท์หารือและแจ้งนางเมย์ว่า การเจรจาเบร็กซิตต้องตกลงกันให้ได้ก่อนว่าอังกฤษจะแยกตัวจากอียูอย่างไร จากนั้นจึงค่อยเจรจาเรื่องความสัมพันธ์ในอนาคตและจะไม่มีข้อตกลงทางการค้าก่อนอังกฤษแยกตัวจากอียู.