ผ่านไปหนึ่งปีเต็ม โลกยังคงหมุนวน อยู่ในกงเกวียนแห่งความโกลาหล ทั้งการเมืองเน่าเฟะ เศรษฐกิจที่ลมจับ และสงครามยืดเยื้อที่ยังหาบทสรุปไม่เจอ พ่วงด้วยภัยพิบัติที่ดาหน้ากันเข้ามาซ้ำเติม ราวกับธรรมชาติและมนุษย์กำลังแข่งกันทำลายสถิติความย่อยยับปีมะเส็งที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็น แล้วว่า “งูเล็ก” ตัวนี้พิษสงร้ายกาจเกินตัว มีศูนย์กลางความปั่นป่วนมาจากชายชราหน้าเดิมอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” หวนคืนบัลลังก์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัย 2 พร้อมด้วยนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” เปิดฉากด้วยการประกาศกร้าวขึ้นภาษีศุลกากรแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทำเอาคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงไทยต้องวิ่งวุ่นหาคิว เข้าเฝ้าเจรจาขอความเมตตากันจนฝุ่นตลบทรัมป์ยังโชว์เหนือด้วยการสะบั้นสายสัมพันธ์โลก ทั้งถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ข้อตกลงนิวเคลียร์ และองค์การอนามัยโลก ราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความต้องการของตนเอง กระนั้นยังเคลมตำแหน่ง “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ” ด้วยการโอ้อวดว่าสั่งปิดจ๊อบ สงครามไปแล้วถึง 8 แห่ง พร้อมปูเสื่อรอรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในขณะที่ บ้านตัวเองกำลังร้อนระอุเป็นไฟ หลังถล่มต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปี คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 70,000 ราย ในที่สุดข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง “อิสราเอล” กับ “กองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่ม ฮามาส” เฟสแรกก็เกิดขึ้นจากแรงบีบจาก สหรัฐฯ เปิดทางให้ส่งความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์พร้อมแลกเปลี่ยนตัวประกันและนักโทษกลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัว รวมทั้ง แรงงานไทย 5 ชีวิต ได้รับอิสรภาพในเดือน ม.ค. ท่ามกลางความโกลาหลในเมืองข่าน ยูนิส ส่วนร่างไร้วิญญาณของ “สุทธิศักดิ์ รินทลักษ์” ตัวประกันไทยรายสุดท้ายถูกส่งกลับคืนสู่มาตุภูมิเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ยังมีความรุนแรงและผู้พลัดถิ่นจำนวนมาก บาดแผลจากสงครามครั้งนี้ลึกเกินกว่าจะเยียวยาได้ในเร็ววัน หน้าประวัติศาสตร์วาติกันถูกจารึกใหม่ เมื่อควันสีขาวเหนือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ประกาศการมาถึงของ “สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14” ผู้ทลายกำแพงประเพณีในฐานะชาวอเมริกัน องค์แรก ก้าวขึ้นเป็นประมุขแห่งคริสตจักรคาทอลิก “โรเบิร์ต แฟรนซิส เพรโวสต์” วัย 69 ปี คือ ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างจิตวิญญาณมิชชันนารีจากละตินอเมริกาและวิสัยทัศน์สมัยใหม่ พระองค์ถูกจับตามอง ว่า พยายามรักษาความศรัทธาแบบดั้งเดิมในขณะที่โลกหมุนไปสู่ความก้าวหน้า ทรงเลือก สานต่อมรดกความเมตตาต่อผู้ยากไร้และสิ่งแวดล้อมตามรอยพระสันตะปาปาฟรานซิส ทว่ายังคงความสุขุมและเคร่งครัดในหลักความเชื่อดั้งเดิมเพื่อประนีประนอมกับปีกอนุรักษนิยมปีนี้คือฝันร้ายของ “ผู้ใหญ่” ในทำเนียบ เมื่อเหล่าเยาวชน Gen Z ทั่วโลก ตั้งแต่แอฟริกา ละติน อเมริกา ไปจนถึงเอเชียสวมวิญญาณโจรสลัดจาก One Piece ลุกขึ้นมาพิสูจน์ให้ผู้คน ทุกเจเนอเรชันเห็นว่าสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวก็โค่นล้มรัฐบาลได้สำเร็จ โดยเฉพาะในเนปาลที่ความแค้นจากการถูกปิดกั้นโซเชียลถูกแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงเผาวอด สถานที่ราชการ โบราณ สถาน และธุรกิจเอกชน จนพินาศภายใน 5 วัน ทิ้งมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านรูปี เพื่อแลกกับการอวสานของรัฐบาลชุดเก่า พร้อมปูทางสู่การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 5 มี.ค.นี้ เหตุการณ์ปล้นสะท้านโลกกลางกรุงปารีส สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วโลก เมื่อ 4 โจรชุดดำขี่สกูตเตอร์บุก “พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์” ของฝรั่งเศส อย่างอุกอาจในช่วงเช้า โดยปลอมตัวเป็นคนงาน ใช้กระเช้าก่อสร้างปีนเข้าทางฝั่งแม่น้ำแซน มุ่งตรงสู่ “ห้องอัญมณีแห่งหอคอย อพอลโล” ห่างจากภาพโมนาลิซาเพียงไม่กี่ก้าว กล้องวงจรปิดเผยจับภาพแก๊งโจรสุดใจเย็น ทุบตู้กระจกอย่างมืออาชีพกวาดอัญมณีล้ำค่าสมัยจักรพรรดินโปเลียนไป 8 รายการ มูลค่ากว่า 102 ล้านดอลลาร์ ก่อนซิ่งหนีด้วยสกูตเตอร์สมรรถนะสูงหายไปในพริบตา ตำรวจพบ “มงกุฎจักรพรรดินียูเฌนี” ถูกทิ้งในสภาพเสียหายภายนอกอาคาร แม้จะตามล่าวายร้ายมาดำเนินคดีได้ แต่มรดกแผ่นดินฝรั่งเศสยังไร้ร่องรอยท่ามกลางสารพัดความขัดแย้งและสงครามการค้า “พญามังกรจีน” กลับผงาดขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่ “ซอฟต์พาวเวอร์” อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อแคมเปญ “Made in China” สลัดภาพโรงงานโลก สู่ไอคอนแห่งความคิดสร้างสรรค์เขย่าบัลลังก์สหรัฐฯและเกาหลีใต้ ตั้งแต่ความอัจฉริยะของระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ราคาประหยัด อย่าง “ดีปซีก” (DeepSeek) ไปจนถึงความ ฟีเวอร์ของอาร์ตทอย “ลาบูบู้” (Labubu) เขย่าโลก พร้อมภาพยนตร์แอนิเมชันอย่าง “นาจา 2” (Ne Zha 2) กวาดรายได้ทุบสถิติโลกกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่แบรนด์อย่าง“บีวายดี” (BYD), “ลัคอิน คอฟฟี่” (Luckin Coffee) และแพลตฟอร์ม “เสี่ยวหงซู” (หรือ “RedNote”) กำลังรุกคืบยึดไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ทั่วโลก ตอกย้ำ ภาพลักษณ์ผู้นำทางนวัตกรรมและจินตนาการส่วนเพื่อนบ้านมหา อำนาจนิวเคลียร์อย่าง “อินเดีย” และ “ปากีสถาน” เหวี่ยงโลกเข้าใกล้ปากเหวสงครามครั้งรุนแรงที่สุดในหลายสิบปี ต้นตอมาจากเหตุสังหารหมู่นักท่องเที่ยวบนเนินเขาปาฮัลกัม แคว้นแคชเมียร์ จนเสียชีวิต 26 ราย นำไปสู่ “ปฏิบัติการซินดูร์” ที่อินเดียประโคมขีปนาวุธถล่มปากีสถานอย่างไร้ปรานี สมรภูมิเวหาเดือดระอุลุกเป็นไฟเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายขนเครื่องบินรบและโดรนเข้าประหัตประหารเต็มอัตรา อินเดียอ้างว่า ใช้ระบบ ต่อต้านขีปนาวุธ S-400 สอยเครื่องบินปากีสถานร่วง 6 ลำ ปากีสถานสวนกลับว่าใช้เครื่องบินรบจีน J-10 C สอยเครื่องบินรบราฟาล และเครื่องบินรบอินเดียตกเกลื่อนฟ้า 5 ลำ ก่อนศึกยกนี้จะสงบใน 4 วันด้วยคำกล่าวอ้างชัยชนะที่ไร้ข้อยุติ ในแง่ภัยพิบัติทั่วเอเชียสะบักสะบอมจากพิษสงจาก “ดิน น้ำ ลม และไฟ” มาครบ เริ่มจากแผ่นดินไหวในเมียนมาคร่าชีวิตกว่า 3,600 ราย แรงสั่นสะเทือนมาไกลถึงกรุงเทพฯ ตามด้วยมหาอุทกภัยและดินถล่มจากสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้ว คร่าชีวิตผู้คนในเอเชียเกิน 1,750 ราย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ศรีลังกา และไทย ผู้คนนับล้านต้องอพยพไร้ที่อยู่อาศัย ทว่าสิ่งที่น่าสลดใจยิ่งกว่าภัยธรรมชาติ คือ “ภัยจากน้ำมือมนุษย์” ที่แฝงมากับการคอร์รัปชันและการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ อย่างเพลิงนรกที่ “หมู่อาคารหวังฟุก คอร์ท” ทางตอนเหนือของฮ่องกง สังเวย 160 ศพ เป็นบทพิสูจน์ที่ชี้ชัดว่า ความประมาทและการทุจริตสามารถเปลี่ยนอุบัติเหตุให้กลายเป็นโศกนาฏกรรมสังหารหมู่ที่โหดร้ายเกินกว่าจะยอมรับได้สร้างประวัติศาสตร์โลกจารึก! “ทากาอิจิ ซานาเอะ” วัย 64 ปี ทายาทการเมืองของ “ชินโซ อาเบะ” ผงาดขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 104 ของญี่ปุ่น เป็น “สตรีคนแรก” ที่ก้าวสู่จุดสูงสุดทางการเมืองแดนอาทิตย์อุทัย หลังคว้าชัยในเดือน ต.ค. ยุติการผูกขาดอำนาจโดยผู้นำชายยาวนานนับศตวรรษ ทากาอิจิไม่ได้มาเพื่อสร้างสีสัน แต่แบกภารกิจกอบกู้ความเชื่อมั่นพรรค LDP ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนระอุ ด้วยนโยบาย สุดแกร่งชูแผนเพิ่มงบกลาโหมทะลุ 2% ของ GDP พร้อมจุดยืนแข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือและจีนอย่างไม่หวาดหวั่น พร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทวงคืนบัลลังก์มหาอำนาจเทคโนโลยี ส่งให้ คะแนนนิยมพุ่งทะยานถึง 73% เป็น “ความหวังใหม่” ที่จะนำพาชาติฝ่ามรสุมโลกอย่างสง่างามและเด็ดเดี่ยวอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติ ศาสตร์ หนีไม่พ้น “เวรกรรม” ของ “อดีตเจ้าชายแอนดรูว์” พระอนุชาในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ถูกถอดฐานันดรศักดิ์จนเกลี้ยงเกลา ไม่อาจใช้คำนำหน้าว่า “เจ้าชาย” อีกต่อไป เหลือแต่เพียง “แอนดรูว์ เมาท์แบตเทน วินด์เซอร์” แบบสามัญชน และต้องย้ายออกจากพระตำหนักในพระราชวังวินด์เซอร์ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดจากแรงกดดันยืดเยื้อจากสื่อ สังคม และราชสำนัก ที่กังวลว่าพฤติกรรมและความสัมพันธ์กับ “เจฟฟรีย์ เอปสตีน” อาชญากรค้ามนุษย์ทางเพศผู้ล่วงลับจะบ่อนทำลายเกียรติภูมิราชวงศ์ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ต้อง “ตัดเนื้อร้าย” คือบันทึกความทรงจำของ “เวอร์จิเนีย จูฟเฟร” แฉวีรกรรมอันน่าสะอิดสะเอียน ปิดฉากสถานะผู้สูงศักดิ์ เหลือแต่อดีตที่เคยรุ่งโรจน์อย่างไม่อาจหวนคืนปี 2025 จึงเป็นปีที่โลกพิสูจน์ให้เห็นว่า “ไม่มีสิ่งใดแน่นอน” นอกจาก “ความสูญเสีย” และการ “ต่อสู้ดิ้นรน” เพื่อเริ่มต้นใหม่ ทว่าท่ามกลางวงจรนี้ สิ่งเดียวที่จะชี้ขาดว่าเราจะยืนหยัดอยู่ได้นานเพียงใด คือการมี “สติ” เพื่อตั้งรับพายุลูกใหม่ที่พร้อมจะพัดกระหน่ำเข้ามา เพราะท้าย ที่สุดแล้วทุกการเริ่มต้นใหม่ มักจะทำให้มนุษย์เติบโตและแข็งแกร่งกว่าสิ่งที่เคยพังทลายลงมาเสมอ.ทีมข่าวต่างประเทศอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม