ESTA = Electronic System for Travel Authorization หมายถึงระบบอนุญาตการเดินทางล่วงหน้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯที่ใช้กับประเทศในโครงการ Visa Waiver Program (VWP) อนุญาตให้พลเมือง 42 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯเพื่อการท่องเที่ยวหรือธุรกิจระยะสั้นในเวลาไม่เกิน 90 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า‘ไม่ต้องขอวีซ่า’ ไม่ได้หมายความว่า ‘ไม่ต้องถูกตรวจสอบ’ นะครับ ผู้เดินทางต้องยื่นข้อมูลผ่าน ESTA และรอการอนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐฯก่อนขึ้นเครื่องบิน ทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการ Visa Waiver Program เป็นประเทศในสหภาพยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และอิสราเอลเดิม ESTA ขอข้อมูลแค่ 1.หนังสือเดินทาง 2.ประวัติการเดินทาง และ 3.ประวัติอาชญากรรมและการก่อการร้าย (ที่ตอบเพียงแค่ใช่ หรือไม่ใช่)ทรัมป์บอกว่า อ้า ข้อมูลแค่ 3 อย่างไม่พอ คนที่จะเข้ามายังดินแดนแผ่นดินสวรรค์ที่มีชื่อว่าสหรัฐฯ จะต้องส่งประวัติโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปี หมายเลขโทรศัพท์ย้อนหลัง 5 ปี และอีเมลย้อนหลัง 10 ปีทรัมป์บอกว่า อ้า เราจะเอาโซเชียลมีเดียมาตรวจว่า ไอ้คนที่อยากจะเข้ามาประเทศของเรา เคยต่อต้านสหรัฐฯหรือไม่ เราต้องการตรวจเพื่อตรวจสอบความเห็นทางการเมือง เราต้องการรู้ว่า ไอ้คนที่จะเข้ามาใช้เครือข่ายออนไลน์แบบไหน Facebook X LinkedIn มีแอปแชตอะไรบ้าง อย่าง WhatsApp Telegram Signal Line หรือ WeChatต้องดู YouTube เพราะเราต้องการรู้ประวัติการกดคอมเมนต์ หรือกดติดตาม เราอยากรู้ว่าไอ้คนนี้มีใครเป็นเพื่อนบ้าง ฟอลโลว์ใคร ใครเข้ามาคอมเมนต์บ่อย ไอ้คนนี้มีประวัติโต้ตอบกับกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์แบบใด เคยแชร์เนื้อหาต่อต้านรัฐ ผู้นำ หรือการทำสงครามหรือไม่ไม่จำเป็นต้องเคยทำผิดกฎหมาย แค่เคยอยู่ในวงสนทนาที่สหรัฐฯไม่ชอบ อัลกอริทึมและเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯก็มีสิทธิที่จะไม่ให้บุคคลนั้นเข้าประเทศผมพยายามค้นดูรายละเอียด เพื่อหาความชัดเจนว่าข้อมูลทั้งหลายจะถูกวิเคราะห์ยังไง ปรากฏว่าไม่มี รวมทั้งไม่มีการเปิดเผยถึงเหตุผลของการปฏิเสธ ผู้เดินทางจะไม่รู้เลยซะด้วยซ้ำว่า ตัวเองถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าสหรัฐฯเพราะอะไรสหรัฐฯเอาเสรีภาพในการเดินทางของมนุษย์ไปผูกกับการยอมให้รัฐอ่านชีวิตดิจิทัลย้อนหลังสหรัฐฯอธิบายว่า อ้า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดน การก่อการร้าย อาชญากรรมไซเบอร์ ไปจนถึงปฏิบัติการแทรกแซงข้อมูลจากรัฐคู่แข่งนโยบายการเข้าเมืองใหม่ของสหรัฐฯทำตามคำพูดของทรัมป์ที่เคยเอ่ยว่า “protect its citizens” คุ้มครองพลเมือง และ “ensure...do not intend to harm Americans or our national interests” ทำให้มั่นใจว่า...ไม่มีเจตนาจะทำร้ายชาวอเมริกัน หรือผลประโยชน์แห่งชาติของเราทรัมป์วางนโยบายการเข้าเมืองไว้ว่า “อ้า ต้องมั่นใจว่า จะไม่เปิดประตูให้คนที่ไม่เหมาะสมเข้ามา” ผู้อ่านท่านครับ คำว่า “ไม่เหมาะสม” ไม่มีนิยามตายตัว และนี่คือการเปิดช่องให้สหรัฐฯตีความตามดุลพินิจและบริบททางอำนาจสิ่งที่ทรัมป์ทำคือ “สถาปนาระบบสอดส่อง” ที่ล้ำเส้นหลักสิทธิพลเมือง เป็นข้ออ้างที่ใช้ขยายอำนาจเหนือชีวิตส่วนบุคคลนี่คือการเปลี่ยนการควบคุมจาก “พรมแดนภูมิศาสตร์” สู่ “พรมแดนดิจิทัล” การเดินทางเข้าสู่ประเทศไม่ได้พิจารณาว่าคุณถือพาสปอร์ตอะไร แต่พิจารณาว่า คุณคิดอย่างไร เคยพูดอะไร เคยแสดงท่าทีต่ออำนาจรัฐอย่างไรสิ่งที่ทรัมป์ทำจะเป็นแนวทางให้รัฐต่างๆ อ้างเป็นความชอบธรรมในการเข้าควบคุมพื้นที่ดิจิทัล ที่ในอนาคตหลายประเทศจะทำตามด่านตรวจคนเข้าเมืองไม่ใช่ ‘แค่ประตูสนามบิน’ อีกต่อไป หากแต่คือ ‘ฐานข้อมูล อัลกอริทึม และการตีความทางการเมือง’ในฐานะที่เป็นนักเดินทางระหว่างประเทศคนหนึ่ง ผมขอประณามนโยบายคัดกรองดิจิทัลของรัฐบาลทรัมป์ เพราะนี่คือการเปลี่ยนการเดินทางระหว่างประเทศของมนุษยชาติ ที่ควรจะเป็นการเดินทางไปศึกษาหาความรู้ เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เพื่อทำมาค้าขาย หรือเพื่อเยี่ยมญาติให้กลายเป็นการตรวจสอบประวัติความคิดทรัมป์ทำให้ “ตัวตนออนไลน์ของมนุษย์” เป็น “พาสปอร์ต” อีกเล่มหนึ่ง ทำให้มนุษย์ต้องยอมจำนนทำให้พื้นที่ดิจิทัลที่ควรเป็น “พื้นที่ส่วนตัว” ของมนุษย์แต่ละคน ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวอีกต่อไป.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม