นํ้าท่วมใหญ่ภาคใต้ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยปรากฏการณ์ “ฝนประวัติการณ์” ที่ซัดถล่มหลายพื้นที่จนอยู่ในภาวะ “วิกฤติสูงสุด”วิกฤติครั้งนี้ได้เปิดบาดแผลเรื่อง “ระบบเตือนภัย” ของประเทศไทยอย่างชัดเจน นับหนึ่ง..ความไม่ครอบคลุมของการแจ้งเตือน บางคนไม่ได้รับหรือได้รับล่าช้า การแจ้งเตือนที่มักเป็นภาพรวมขาดความจำ เพาะเจาะจงในระดับพื้นที่ ทำให้หลายครอบครัวประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริงและไม่ยอมอพยพทันทีนับสอง..โครงสร้างพื้นฐานล้มเหลว เมื่อน้ำท่วมสูงจนเกิดไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่เสาสัญญาณโทรศัพท์ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่หรือล่มลง ทำให้ช่องทางการสื่อสารและการขอความช่วยเหลือถูกตัดขาดในช่วงวิกฤตินับสาม..ความสับสนของข้อมูล ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับข้อมูลที่ขัดแย้งกัน ทั้งข่าวสารจากหน่วยงานรัฐและคำเตือนจากเพจเอกชน..โซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในการสื่อสารช่องว่างด้านข้อมูลและการแจ้งเตือน ปัญหามีว่า..แม้จะมีเทคโนโลยีตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำ แต่ข้อมูลกลับไม่ได้ถูก “แปลงสาร” เป็นคำเตือนที่เข้าใจง่าย เช่น แทนที่จะบอกว่า “ปริมาณฝนเกิน 300 มม.” ควรแจ้งว่า “ระดับน้ำในคลอง ร.5 จะล้นตลิ่งเข้าท่วมถนนเพชรเกษมภายใน 3 ชั่วโมง” เป็นต้น สำหรับช่องว่างด้านการบริหารจัดการและกฎหมาย ปัญหาคือความไม่ชัดเจนในการตัดสินใจระดับพื้นที่ อำนาจการสั่งการมักกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลางหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้การตัดสินใจ “อพยพ” หรือ “ประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ” ในช่วงนาทีวิกฤติเกิดความล่าช้า..ขาดการตัดสินใจที่รวดเร็วโดยผู้บริหารท้องถิ่นซ้ำเติมด้วยช่องว่างการบูรณาการระหว่างหน่วยงานยังเป็นปัญหาเดิมๆ ขาด “Single Command” ที่มีประสิทธิภาพในช่วงภัยพิบัติ ที่สำคัญคือ ช่องว่างด้านโครงสร้างพื้นฐานและการวางแผน ปัญหา..หาดใหญ่ต้องเผชิญกับสภาพ “ผังเมืองน้ำท่วม” ที่ขาดการทบทวนครั้งใหญ่ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศการก่อสร้างอาคารและถนนใหม่ๆ ยังคงกีดขวางทางน้ำธรรมชาติ และระบบระบายน้ำที่มีอยู่ เช่น ท่อระบายน้ำมีขนาดเล็กเกินกว่าจะรองรับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นมหาศาล นับรวมไปถึงช่องว่าง “ระบบป้องกันน้ำท่วมถาวร” เช่น เขื่อน..คันกั้นน้ำรอบเมืองมีความเสื่อมโทรมและไม่เพียงพอต่อระดับน้ำสูงสุดครั้งใหม่ทำให้..เมืองเศรษฐกิจต้องพึ่งพาระบบเตือนภัยและการอพยพชั่วคราวเป็นหลักเหตุน้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นแล้ว..เสียหายมหาศาลแล้ว ในช่วงที่เกิดวิกฤติใหญ่เช่นนี้ การตั้งคำถามที่ถูกที่ถูกเวลาคือส่วนสำคัญของการป้องกันไม่ให้ความสูญเสียเกิดซ้ำอีกในอนาคต สิ่งสำคัญคือ “เจตนา” และ “จังหวะเวลา” ที่ต้องสมดุลระหว่างความรู้สึกของผู้ประสบภัยกับความจำเป็นที่ “รัฐ” และ “สังคม” ต้องรับบทเรียน ปีนี้น้ำท่วมเกือบทั่วประเทศ สาเหตุหลักอยู่ที่การบริหารจัดการน้ำหรือไม่? หนึ่งในเสียงจากนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ตั้งคำถามทั้งยังระบุว่า “การบริหารจัดการน้ำ” ทั้ง “น้ำท่วม” และ “น้ำแล้ง” ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ 2561 หน่วยงานหลักด้านการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทยคือสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ออกนโยบายและแผนแม่บท, กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ดูแลทรัพยากรน้ำโดยตรง..กรมชลประทานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการและจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรและการใช้งานด้านอื่นๆ..กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทำหน้าที่เกี่ยวกับน้ำท่วมโดยการวางแผนและกำหนดมาตรการป้องกันล่วงหน้าเช่น การวิเคราะห์และเตือนภัย การฝึกซ้อมและการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่รับมือกับสถานการณ์จริงโดยการบัญชาการเหตุการณ์ จัดการความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การกู้ชีพกู้ภัยและการฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ ทำงานโดยมีคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เป็นกรรมการประสาน...มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างบูรณาการ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานเลขานุการประเด็นต่อมา..ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 ต.ค.68 นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติและจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้นมาอีกหน่วยงานหนึ่งโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เหตุผลคือเพื่อให้การบริหารจัดการสถานการณ์ภัยพิบัติทั่วประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีเอกภาพและเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ หน้าที่หลักของคณะกรรมการคืออำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมพร้อม ป้องกัน ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูสั่งการหน่วยงานของรัฐให้บูรณาการการทำงานร่วมกัน..ติดตามและประเมินผลการช่วยเหลือ เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีและแต่งตั้งคณะทำงานหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามความจำเป็นรวมทั้งบริหารและสั่งการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างรวดเร็ว, จัดหาอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคและที่พักพิงให้ผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึง ประชาสัมพันธ์ข้อมูลและคำแนะนำให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ได้ทันเวลาและประสานการฟื้นฟูให้ทันสถานการณ์ทุกวันนี้..ที่เกิดน้ำท่วมทั่วประเทศ ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง จนถึงขณะนี้คือภาคใต้ เกิดจากมีหน่วยงานบริหารจัดการน้ำที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่? ใครเป็น Single Command หรือผู้สั่งการป้องกันแก้ไขได้โดยตรง...ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ควรจะฟังคำสั่งจากใครดี?ความสูญเสียครั้งนี้คือบทเรียนราคาแพงที่เตือนให้เราสร้างระบบป้องกันที่แข็งแรงกว่าเดิม ไม่ใช่เดินต่อไปแบบเดิมแล้วรอรับหายนะรอบใหม่ หากวันนี้เราไม่ใช้โศกภัยเป็นพลังขับเคลื่อน..ประเทศก็จะติดอยู่ในวังวนเดิมและไม่มีวันเป็นสังคมที่พร้อมรับมือภัยพิบัติได้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม